ชลบุรี-ติดเชื้อโควิด 19 เพิ่ม 73 ราย เสียชีวิต 2 วันต่อเนื่อง
ภาพ/ข่าว:นิราช/ทิพย์ศรี
ติดเชื้อโควิด 19 เพิ่ม 73 ราย เสียชีวิต 2 วันต่อเนื่อง
วันนี้ 11 พ.ค.64 เวลา 06.30 น. สสจ.ชลบุรี มีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 เสียชีวิต 2 รายต่อเนื่อง ในวันที่ 9 และ 10 พ.ค.64 วันนี้พบผู้ป่วยรายใหม่ จำนวน 73 ราย มาจาก
1. ผู้สัมผัสผู้ป่วยยืนยัน จาก จ.สมุทรปราการ 2 ราย
2. สัมผัสผู้ป่วยยืนยัน
2.1 ในครอบครัว 28 ราย
2.2 จากที่ทำงาน 10 ราย
3. อาชีพเสี่ยงพบปะผู้คนจำนวนมาก 1 ราย
4. ผู้สัมผัสผู้ป่วยยืนยัน ซึ่งอยู่ระหว่างสอบสวนโรค 7 ราย
5. อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค 25 ราย
วันนี้ ได้รับราบงานการค้นหาผู้สัมผัสทั้งหมดจำนวน 133 ราย และค้นหาเชิงรุกเบื้องต้น อีกจำนวน 279 ราย และอยู่ระหว่างการรอรับรายงานการค้นหาเชิงรุกเพิ่มเติม
ขณะนี้ มีการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ และเริ่มมีการกระจายตัวจากการติดในครอบครัวมาสู่เพื่อนร่วมงาน ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงมาจากการทานข้าวร่วมกัน หรือมีกิจกรรมใกล้ชิด สังสรรค์แม้จะเป็นเพียงกลุ่มเล็ก2-3 คนในเพื่อนสนิทใกล้ชิด
ขอความร่วมมือ มาตรการดังนี้
1. ไม่สังสรรค์ ไม่ตั้งวงดื่มเหล้า
2. อาหารต้องไม่ทานใกล้ชิดด้วย
3. ป่วยต้องหยุด
4. จุดสัมผัสร่วม ต้องทำความสะอาดบ่อยๆ เช่น ลูกบิด ราวบันได สแกนนิ้วมือ เซ็นชื่อแล้วต้องล้างมือทันที
5. เคร่งครัดในสุขอนามัยส่วนบุคคล ใส่แมสก์ตลอดเวลา ล้างมือบ่อยๆ อยู่ห่างๆกัน
อาจมีผู้ที่ยังไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อปะปนอยู่ในสังคม โดยที่เราไมทราบ จึงขอให้เคร่งครัดในมาตราการอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะสุขอนามัยส่วนบุคคล เชื้อเข้าทางจมูกปากตา ต้องไม่จับหน้าโดยไม่ล้างมืออย่างเด็ดขาด สวมแมสก์ตลอดเวลา พยายามออกจากบ้านให้น้อยลง อยู่ห่างกัน ล้างมือบ่อยๆ
สำหรับ ผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต้องมีการกักตัวอย่างเข้มงวด ไม่ออกไปแพร่เชื้อ แม้การตรวจครั้งแรกจะไม่พบเชื้อ แต่มีหลายๆ รายตรวจพบเชื้อในครั้งที่ 2 ระหว่างการกักตัว 14 วัน
จังหวัดชลบุรี จะยังคงดำเนินการค้นหาผู้สัมผัส และค้นหาเชิงรุกอย่างเข้มข้น เพื่อนำมาตรวจหาเชื้อโควิด-19 และนำมารักษาไม่ให้แพร่ระบาดต่อไป
# ค้นหาให้ทั่ว กักตัวให้ดี ชีวิตวิถีใหม่ ร่วมใจฉีดวัคซีน สู้ภัยโควิด-19
#รู้หน้า_ไม่รู้ใจ_ไม่รู้ใครติดโควิดบ้าง
#อยู่ห่างกัน_หมั่นล้างมือ_แมสก์ต้องใส่_สแกนไทยชนะ
สามารถติดตามข่าวสารอื่นๆได้ก่อนใครที่ https://www.siameagle.com
หรือ https://www.facebook.com/siameaglenews/
