ราชบุรี-เกษตรกร เผยอยากทราบเหตุผลที่แท้จริงหลังแบนเคมีภัณฑ์ทั้ง 3 ชนิด

ราชบุรี-เกษตรกร เผยอยากทราบเหตุผลที่แท้จริงหลังแบนเคมีภัณฑ์ทั้ง 3 ชนิด

ภาพ/ข่าว:สุจินต์ นฤภัย(เต้)

         หลังเมื่อวันที่ 9 ต.ค.62 น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงภายหลังการประชุมผู้แทน 4 ภาคส่วน คือ ผู้แทนภาครัฐจากกระทรวงเกษตรฯ คือ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานเกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ผู้แทนเกษตรกร และผู้แทนผู้บริโภค ในการหาข้อสรุปยกเลิกการใช้สารเคมี 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส เนื่องจากเกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชาชน(มีคลิป)

           โดย น.ส.มนัญญา เผยว่า วันนี้ไม่มีผู้แทนของผู้ประกอบการ แต่เสียงที่เหลือทั้งหมดเป็นเอกฉันท์คณะกรรมการ ที่ออกความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ 9 ต่อ 0 โหวตให้ยกระดับสาร 3 ชนิด จากวัตถุอันตรายประเภทที่ 3 เป็นวัตถุอันตราย ประเภทที่ 4 และให้ยกเลิกใช้สาร 3 ชนิด ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป และจะนำมตินี้เสนอคณะกรรมการวัตถุอันตรายต่อไป โดยการยกเลิกใช้สารเคมี 3 ชนิด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เร่งรัดกรมวิชาการเกษตรให้หาสารทดแทน โดยสารทดแทนจะต้องไม่กระทบกับเกษตรกร ทั้งเรื่องของความเป็นพิษ ราคาต้นทุน และคุณภาพด้วย
            วันนี้(10 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สำรวจตามร้านเคมีภัณฑ์การเกษตรในอำเภอดำเนินสะดวก โดยร้านเคมีภัณฑ์ส่วนใหญ่นั้นได้บอกว่า ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก เพราะถ้าไม่ให้ขาย ก็ไม่ขาย เพราะสามารถขายยาตัวอื่นได้ ส่วนเคมีภัณฑ์ทั้ง 3 ชนิด ก็คงส่งคืนบริษัทใหญ่ไปเท่านั้น แต่ยอมรับว่าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ที่ทำการแบนสารเคมีภัณฑ์ทั้ง 3 ชนิดนี้ และอยากให้ทางรัฐบาลขยายเวลาออกไปอีก เพราะบางร้านไม่ได้สั่งยาชนิดนี้โดยตรงจากทางบริษัทใหญ่ จึงมีปัญหาเรื่องการส่งคืน จึงจะมีปัญหาเรื่องการขาดทุนหากไม่สามารถขายเคมีภัณฑ์ทั้ง 3 ชนิดนี้ให้หมดก่อนวันที่ 1 ธันวาคม
           นายมงคล สมประเสริฐ อายุ 62 ปี เกษตรในพื้นที่อำเภอดำเนินสะดวกกล่าวว่า ตนอย่างทราบถึงเหตุผลที่จะทำการแบนเคมีภัณฑ์ทั้ง 3 ชนิดนี้ ซึ่งในแต่ละครั้งมีกายเผยแพร่ออกสื่อต่างๆ มีความดุเดือดมาก กับสารพิษตกค้างในพืชผัก ผลไม้ ทั้ง 7 จังหวัด ซึ่งข้อเท็จจริงการพิสูจน์นั้นทางนักวิชาการจากกรมการเกษตรก็ได้มาเก็บพืชผัก ผลไม้ รวมทั้งดินและน้ำไปตรวจสอบ ก็ไม่มีสารพิษตกค้างตามที่มีการเสนอข่าว แล้วถ้ามีสารพิษตกค้างจริงๆ ตนทำอาชีพเกษตรกรมาตั้งแต่อายุ 16 จนอายุ 62 ถ้ามีอันตรายจริงหรือสารพิษตกค้างจริง จะมีอายุอยู่ได้ถึงขนาดนี้หรือ และแม่ของตนเองก่อนจะเสียชีวิตก็มีอายุเกือบร้อยปี นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ตนอยากทราบว่าทำไมถึงได้แบน ที่อ้างว่าพิสูจน์มาแล้ว ตนก็ขอดูผลการพิสูจน์ และอยากทราบว่าไปพิสูจน์ที่ไหนมาที่มีสารพิษตกค้าง ตน”ก็เคยเจอกับกลุ่มคนที่ต้องการให้แบนเคมีภัณฑ์ 3 ตัวนี้มาแล้ว ตนเองก็ขอดูผลการพิสูจน์ทุกครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรมายืนยันได้ ซึ่งได้แต่อ้างว่าได้ส่งไปตรวจสอบถึงประเทศอังกฤษ การที่จะส่งพืชผักผลไม้ ไปตรวจสอบยังต่างประเทศ จะต้องมีหนังสืออนุญาตจากท่านรัฐมนตรี ตนอยากรู้ว่ารัฐมนตรีท่านใดเป็นคนอนุญาตให้ส่งไปตรวจสอบ ได้แต่อ้างว่าต่างประเทศแบนไปแล้ว 50-60 ประเทศก็ไม่รู้จริงหรือไม่ จีนใช้ สหรัฐอเมริกาใช้ เวียดนามเลิกใช้จริงแต่ก็กลับมาใช้แล้ว”
          นายมงคล ยังกล่าวอีกว่า ทำไมความจริงไม่พูด เอาแต่ข้อมูลเท็จ ข้อมูลที่ไม่มีเหตุผลไม่มีหลักฐานออกมาพูด แล้วมาทำสื่อออกแบบนี้ ผู้บริโภคเขาก็ตื่นตระหนก และคำพูดที่ว่าประเทศอาบสารพิษ คนที่พูดนั้นคนไทยหรือเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผลไม้ของประเทศเรานั้นติดอันดับ 1 ของโลก ซึ่งต่างชาติยอมรับ ตนเองจบการศึกษาต่ำ จบชั้นประถมศึกษา แต่ที่มาได้ขนาดนี้เพราะว่าตนมีปริญญาชีวิต ตั้งแต่เริ่มทำการเกษตร ตั้งแต่อายุ 16 จนอายุ 62 ถ้าเป็นอย่างที่เขาอ้างจริงๆ พวกตนไม่ตายไปหมดแล้ว ซึ่งตนเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาแบนสารเคมีภัณฑ์ทั้ง 3 ชนิดนี้ ทั้งๆที่สลากก็บอกแล้วว่าเป็นสารกำจัดวัชพืช สารทำลายแมลงศัตรูพืช ไม่ได้ให้นำไปทานแล้วตายถึงต้องมาแบน

        อย่างไรก็ดีด้านทางร้านขายเคมีภัณฑ์และเกษตรกรส่วนใหญ่คิดว่าการแบบสารเคมีภัณฑ์ทั้ง 3 ชนิดนี้ ไม่มีความโปร่งใสและอยากให้ทางรัฐบาลได้นำนักวิชาการและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ออกมาชี้แจง พร้อมนำข้อมูลข้อเท็จจริง และนำผลตรวจที่แท้จริงออกมาแถลงให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับทราบ

สามารถติดตามข่าวสารอื่นๆได้ก่อนใครที่ https://www.siameagle.com
หรือ https://www.facebook.com/siameaglenews/

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!