โยมผู้มีพระคุณ ล้มป่วย จิตตก กังวล สับสนใจ!!!

โยมผู้มีพระคุณ ล้มป่วย จิตตก กังวล สับสนใจ!!!

เรื่องโดย:พระครูปลัดสิทธิวัฒน์(หลวงพี่น้ำฝน)

โยมผู้มีพระคุณ ล้มป่วย จิตตก กังวล สับสนใจ!!!

จุดประกาย “เกิด แก่ เจ็บ ตาย” รวย จน หนีไม่พ้น

วิบากกรรมย้ำ “เร่งสะสม บุญ ให้ทาน สานบารมี”

      เจริญพรญาติโยมทุกท่าน เมื่อเร็วๆนี้ อาตมาไปเยี่ยมลูกศิษย์ ซึ่งป่วย รักษาตัวอยู่ที่บ้าน ก่อนหน้านี้ โยมหายเงียบ  เก็บตัวติดต่อไม่ได้  สุดท้ายทราบข่าวป่วยหนัก อาตมารีบไปเยี่ยมถามไถ่ทุกข์สุข ในฐานะญาติสนิทที่ไม่เคยลืมเลือน

    อาตมาไปเยี่ยมเมื่อวันจันทร์ที่ 3 มีนาคม 2557 ที่บ้านพักย่าน มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 เขตบางนา พร้อมโยมนกน้อย บริพันธ์ ชัยภูมิ และโยมลอร์ด สยม สังวริบุตร พอเห็นตกใจกับการเปลี่ยนแปลง จากที่เคยแข็งแรง หน้าตาสดใส ร่าเริง บัดนี้หน้าตาซีดเซียว หน้าตอกผอมลง ขาทั้งสองข้างบวมใหญ่ อย่างเห็นได้ชัด โยมบอกรู้ว่าเป็นโรคมะเร็ง ตอนช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ช่วงแรกๆทำใจไม่ได้ ไม่อยากพบใคร ไม่กล้าบอกให้รู้  “เพื่อนพ้องน้องพี่ ญาติสนิทมิตรสหาย” ไม่ให้มาบ้าน ไม่ยอมให้มาเยี่ยม เพราะช่วงนั้นยังสบสน ฟุ้งซ่าน เครียด กังวล บอกหลวงพี่ตามตรง “โยมจิตตก”  แต่วันนี้โอเคแล้ว พร้อมเปิดรับทุกคน เพราะเริ่มทำใจได้แล้วในระดับหนึ่ง….

อาตมาก็เลยตำหนิไปว่า เราเหมือนพี่น้องกัน เป็นเหมือนญาติสนิทมิตรสหายแท้ๆ ไม่เคยคิดเป็นอื่น และที่ผ่านมาโยมช่วยเหลืออาตมาและที่วัดไผ่ล้อม มาโดยตลอด มีอะไรทำไมไม่บอกกัน ทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง จงจำไว้โยมเป็นคนใจบุญ ทั้งชีวิต อุทิศอุปถัมภ์ค้ำชูยอยกพระพุทธศาสนามาตลอด กลัวอะไรกับแค่การเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกคนต้องเจ็บป่วย ไม่ใช่เป็นเฉพาะโยมคนเดียวเสียเมื่อไร เขาเป็นกันทั้งโลก แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านยังเคยป่วยเลย!!!

    ย้อนกลับมาคิดที่ตัวโยม สร้างกรรมความดี และสะสมบุญมามากมาย โดยเฉพาะบุญที่สร้างไว้มีล้นเหลือ ไม่ต้องกลัว สิ่งที่ทำไว้ มันสูงมากพอ ที่จะมาเป็นเกราะบารมีคุ้มกันให้หายวันหายคืน ไม่เจ็บปวดอีกต่อไป  ส่วนการรักษาพยาบาลนั้น มันหยุดไม่ได้ ว่ากันไปตามวาระเหตุการณ์แห่งความจำเป็น ตามครรลองทางโลก  ในทางธรรม ต้องรักษาทางใจให้ได้เสียก่อน ถ้าลองขวัญกำลังใจมาดีแล้ว ชนะทั้งหมด ความเจ็บปวดทำอะไรโยมไม่ได้แน่นอน  “จิต สมาธิ ศีล ปัญญา คือมหากำลังใจสำคัญที่สุด”

วันนี้อาตมามาเยี่ยมโยม เพื่อต้องการมาเปิด ม่านบังตา ม่านบังใจทั้งหมด ที่โยมมีอยู่  มันประกอบด้วยความกังวล สับสน วุ่นวาย มีสนิมในใจ ต้องล้างให้สะอาด เพื่อคราบร้ายมลายหายไป   เริ่มต้นใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ และให้คิดว่าโรคมะเร็งร้ายคือวิบากกรรรม มันเป็นเพียงกรรมเก่า เป็นเรื่องธรรมดา ที่ทุกคนต้องมี  ไม่มีใครหนีพ้นวิบากกรรม ไม่มีใครหนีพ้น การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย  ถ้าคิดได้เยี่ยงนี้ โยมก็จะสุขใจ แต่ต้องอย่าลืมความกล้าในการเผชิญหน้า ปรับตัว เปลี่ยนแปลงให้ได้ แม้ความเครียด วิตกกังวล อาจจะเกิดขึ้นได้ก็ตาม ต้องรักษาความรู้สึกที่ดีไว้ ต้องมีความหวัง ต้องไม่ท้อถอย

    จุดนี้จะทำให้ทนต่อความเจ็บปวดได้ จะสบายตัว และผ่านพ้นไปได้ อย่าโทษตัวเอง ยอมรับความเจ็บป่วยให้ได้ ปรับจิตใจ ฝึกสร้างกำลังใจให้กับตนเอง แม้จะรู้ว่าเป็นมะเร็ง แต่โยมอย่ายอมแพ้ อย่าสิ้นหวัง กล้าที่จะยอมรับความจริง และพร้อมจะยืนหยัดอยู่ต่อไป แม้เป็นไปด้วยความยากลำบากก็ตามที แต่อาตมามีวิธีทางธรรมะ สามารถสร้างขวัญกำลังใจ ปลูกฝังให้โยมที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งขณะนี้ มีหัวใจที่ดี มีทัศนคติที่เป็นบวก  อาตมาไปเยี่ยมโยมที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งหลายราย เน้นให้ธรรมะ ในคำพูดที่สร้างกำลังใจที่ดี เพราะนั่นย่อมสร้างความคิดให้เป็นจริงได้ง่ายกว่า

     การจุดไฟให้แสงสว่างในใจคนที่เป็นมะเร็ง กำลังใจ เป็นสิ่งที่ถูกต้องตรงประเด็นที่สุด เพราะกำลังใจ สามารถเป็นสะพาน เชื่อมโยงไปสู่ชัยชนะ หรือความสำเร็จได้ เป็นการกระตุ้นให้มีพลัง สร้างจินตนาการ ความฝันให้เป็นจริงได้

อาตมายึดหลักการสอนโยมผู้ป่วย ใช้ทัศนคติในทางที่ดี คือทางบวก คิดบวก ทำบวก ให้โยมฝึกปฏิเสธตนเองในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ตามใจตนเองในการคิดสิ่งไม่ดี กระทำไม่ดี พูดไม่ดี โยมต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง เชื่อมั่นในความคิด ตัดสินใจเรื่องต่างๆด้วยตนเอง พยายามหลีกเลี่ยง สิ่งที่ทำให้จิตใจขุ่นมัว โดยระงับความโกรธ ความกลัว ความพยาบาท และความวิตกกังวลต่างๆ จงจำไว้ว่าต้องร่าเริงแจ่มใสตลอดเวลา มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน คิดแต่สิ่งดีๆ ที่ทำให้สบายใจ

      สร้างกำลังใจจากงานที่ทำอยู่ ทำงานอย่างมีเป้าหมาย ขยันขันแข็ง รู้คุณค่าของเวลา และพอใจในตำแหน่งหน้าที่ของตน ทำจิตใจให้มั่นคง มีสติ และสมาธิอยู่เสมอ แนวความคิดเหล่านี้ ช่วยทำให้โยมที่เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ในขณะนี้ มีกำลังใจงดงาม ทำให้เกิดเป็นทัศนคติในทางบวก เพื่อสามารถต่อสู้กับปัญหาอุปสรรค ได้อย่างราบรื่นตลอดไป

      ท้ายสุดนี้ ขอฝากเรื่อง การบอกความจริงแบบเสริมกำลังใจให้คนไข้ ญาติๆอย่าสูญเสียกำลังใจ อย่าคิดแทนคนไข้  ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ต้องเป็นหลักยึดให้คนไข้ เพื่อต่อสู้กับมะเร็ง ญาติต้องมาช่วยรักษา เช่น ทางธรรมชาติบำบัด คุมอาหาร ออกกำลังกาย  ฝึกสมาธิ เพิ่มภูมิต้านทานให้ดีขึ้น …เรียกว่า ร่วมมือร่วมใจกัน เอาชนะมะเร็ง โดยผนวกการตระหนักในความเป็นอนิจจังของสังขาร ตระเตรียมตนเองทางจิตวิญญาณ จักส่งผลดีเพื่อเข้าถึงโลกุตรธรรม อันเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตอีกด้วย  นัยความเป็นไปของคนป่วยหนัก ถ้าไม่ใช่เป็นผู้มีปัญญา หรือ ไม่ได้สะสมบุญไว้มาก ย่อมจะเกิดทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจเป็นธรรมดา  ส่วนผู้ที่มีปัญญาและผู้ที่สะสมบุญไว้มาก ทั้งมิได้ประกอบ อกุศลกรรมไว้ ย่อมไม่เกิดทุกข์ทางใจ แม้จะมีทุกข์ทางกายบ้าง

      ดังนั้น ในชีวิตขณะที่ปกติ ถ้าไม่สะสมการฟัง การเห็นประโยชน์ของพระธรรมในขณะที่ป่วยหนักจะสนใจฟังพระธรรมนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะความเจ็บปวดทางกายและจิตใจเศร้าหมอง ขาดศรัทธา การเห็นประโยชน์ก็ไม่มี  และก่อนหน้านี้เขาก็ไม่สนใจ  นอกจากจะนำเสนอเพียงเรื่องเบาๆ พื้นๆทั่วไป เช่น พุทธประวัติ ชาดก เป็นต้น ก็อาจจะทำให้จิตเปลี่ยนจากความกังวลความทุกข์ได้บ้างไม่มากก็น้อย  ฉะนั้นพระธรรมคำสอน เป็นไปเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อการละคลายอกุศล เป็นไปเพื่อการดับกิเลส  ดับทุกข์

     เพราะฉะนั้น พระธรรม  จึงเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้สะสมบุญมาแล้วแต่ชาติปางก่อน   ส่วนผู้ที่ไม่ได้สะสมบุญย่อมไม่ได้ประโยชน์จากพระธรรม ย่อมเป็นสิ่งไม่มีค่าสำหรับเขา   ซึ่งตรงกับคำว่า “ธรรม  ไม่ได้สาธารณะกับทุกคน” ต้องเกื้อกูล ด้วยจิตเมตตา  ปรารถนาดี หวังดีทุกเมื่อ  เพราะเมตตาแล้วไม่ทุกข์  แม้ผู้นั้นไม่รับฟังคำแนะนำ แต่ถ้ารับฟัง ย่อมเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา และขอให้ญาติโยมทุกท่านทำหน้าที่ให้ดีที่สุด 

ขอเจริญพร

 

 

 

 

 

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!