สำรวย โตสุข “เขาขอให้ผมช่วยราชการ”

สำรวย โตสุข “เขาขอให้ผมช่วยราชการ”

เรื่องโดย:ยุทธ บางขวาง //

คำสารภาพสุดท้ายนักโทษประหาร

สำรวย โตสุข “เขาขอให้ผมช่วยราชการ”

.ช.สำรวยหรืออ๊อด โตสุข อายุ 41 ปี หมายเลขประจำตัว 638/38 คดีชิงทรัพย์และฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 หมายเลขคดีดำที่ 391/37 หมายเลขคดีแดงที่ 973/38 ศาลจังหวัดสิงห์บุรี เหตุเกิดพื้นที่สถานีตำรวจภูธรอำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี

วันที่ 5 กุมภาพันธุ์ พ.ศ.2537 เวลาประมาณ 08.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.อินทร์บุรี ได้รับแจ้งมีเหตุพระถูกฆ่าตาย ภายในกุฏิวัดราษฎร์บำรุง หมู่ที่ 4 ตำบลน้ำตาล อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี จึงได้รีบไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ปรากฏว่ากุฏิที่เกิดเหตุเป็นกุฏิของเจ้าอาวาส ภายในห้องนอนชั้นบนพบศพพระครูวิมล ศรีลาภิรัตน์ อายุ 73 ปี เจ้าอาวาสนอนมรณะภาพอยู่ สภาพศพมีบาดแผลถูกฟันด้วยมีดที่ท้ายทอย ที่ต้นคอ รวม 3 แผล และยังถูกแทงที่หน้าท้องอีก 1 แผล ทุกแผลล้วนแล้วแต่ฉกรรจ์ มีเลือดสาดกระจายเต็มจีวร ใกล้ศพพบมีดเหน็บขนาดกว้าง 3 นิ้ว ยาว 14 นิ้ว เปื้อนเลือดตกอยู่ 1 เล่ม เชื่อว่าน่าจะเป็นอาวุธที่ใช้สังหารพระครูวิมล ศรีลาภิรัตน์ โดยแพทย์ลงความเห็นว่าน่าจะถูกฆ่ามาแล้วประมาณ 9-10 ชั่วโมง

จากการตรวจสภาพที่เกิดเหตุภายในห้องนอน พบว่าข้าวของภายในห้องถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย ย่ามประจำตัวที่ใช้เก็บเงินสดและพระเครื่องราคาเรือนแสนหลายองค์ได้หายไป จากการสอบปากคำด.ช.พงษ์พันธ์ อายุ 14 ปี ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระครูวิมล ศรีลาภิรัตน์ ให้การว่าปกติแล้วพระครูวิมลฯจะเข้าจำวัดตั้งแต่หัวค่ำ และจะตื่นนอนแต่เช้ามืดเป็นประจำ เมื่อคืนที่ผ่านมาก็เข้าจำวัดตั้งแต่หัวค่ำตามปกติ โดยมีด.ช.พงษ์พันธ์นอนอยู่ที่หน้ากุฏิ จนรุ่งเช้าพระครูวิมลฯก็ยังไม่ตื่น ด.ช.พงษ์พันธ์เห็นผิดสังเกตุ จึงเข้าไปเคาะประตูเรียกแต่ไม่มีเสียงตอบออกมา ด้วยความเป็นห่วงเนื่องจากเห็นว่าชราภาพมากแล้ว อาจจะเจ็บป่วยอยู่ก็เป็นได้ จึงงัดประตูห้องเข้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าพบพระครูวิมลฯถูกคนร้ายฆ่ามรณะภาพไปแล้ว จึงร้องเรียกพระและคนในวัดมาดูแล้วรีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ

จากการสอบสวนและตรวจสอบที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าคนร้ายได้ปีนเข้าทางหน้าต่างด้านหลังกุฏิ โดยคาดว่าขณะที่คนร้ายเข้ามาในห้อง พระครูวิมลฯคงจะหลับอยู่ ระหว่างที่คนร้ายค้นหาทรัพย์สินมีค่าอยู่นั้น พระครูวิมลฯคงตื่นขึ้นมาพบและเข้าขัดขวาง จึงถูกคนร้ายกระหน่ำฟันและแทงจนมรณะภาพ เสร็จแล้วลงมือกวาดพระเครื่องและทรัพย์สินมีค่าหลายแสนบาทหลบหนีไป เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าคนร้ายที่ลงมือสังหารโหดในครั้งนี้ น่าจะเป็นพวกติดยาเสพติดที่พักอยู่ใกล้วัด เพราะรู้ดีว่าพระครูวิมลฯมีทรัพย์สินมีค่าภายในกุฏิ และยังรู้เส้นทางเข้าออกดีอีกด้วย

หลังทราบข่าวการมรณะภาพของพระครูวิมล ศรีลาภิรัตน์ ประชาชนและลูกศิษย์ทั้งในจังหวัดสิงห์บุรีและจังหวัดใกล้เคียง ต่างทยอยกันเข้าเยี่ยมศพกันเป็นจำนวนมาก พร้อมกับช่วยกันสาบแช่งคนร้ายที่ฆ่าได้แม้กระทั่งพระที่แก่ชรา และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการสืบหาตัวคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว

จากการตรวจสอบหาตัวผู้ต้องสงสัย เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เน้นไปที่กลุ่มผู้เสพยาเสพติดที่พักอาศัยอยู่ในระแวกใกล้วัด โดยได้จับกุมตัวผู้ต้องสงสัยมาทำการสอบสวนหลายคน ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กระจายกำลังกันออกหาข่าวและหลักฐานต่างๆในบริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าพบย่ามของพระครูวิมลฯ ถูกทิ้งอยู่ในป่าละเมาะข้างคลองส่งน้ำชลประทาน ห่างจากจุดที่เกิดเหตุประมาณ 2 กิโลเมตร ภายในย่ามมีสมุดฝากเงินของพระครูวิมลฯ ซึ่งมีการเบิกเงินมาจำนวน 10,000 บาท ช้อนส้อม 1 คู่ ขัน 1 ใบและจีวรพระ 1 ชุด

นอกจากนั้นด.ช.พงษ์พันธ์ยังได้ให้การเพิ่มเติมถึงคืนวันเกิดเหตุ โดยให้การว่าเมื่อวันที่ 4 ก.พ.37 พระครูวิมลฯได้เบิกเงินจากธนาคารมาจำนวน 10,000 บาท ตกค่ำได้มีนายสำรวย โตสุข ซึ่งเป็นคนสนิทของพระครูวิมลฯ ได้ขึ้นไปหาในกุฏิ หลังจากนั้นไม่นานนายสำรวยได้กลับลงมา พร้อมกับสะพายย่ามลงมาด้วย 1 ใบ ซึ่งตนก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะนายสำรวยมาหาพระครูวิมลฯบ่อย เนื่องจากเป็นคนสนิทเจ้าอาวาส และพระครูวิมลฯยังเคยเป็นพระอุปัชฌาย์ให้นายสำรวยอีกด้วย แต่เมื่อเดินผ่านตน นายสำรวยได้บอกตนว่า อย่านำเรื่องที่นายสำรวยมาหาพระครูวิมลฯไปบอกใคร หากไม่เชื่อจะฆ่าให้ตาย จนกระทั่งรุ่งเช้าตนจึงงัดห้องเข้าไปพบศพเจ้าอาวาส เมื่อทราบดังนั้น นายสำรวยจึงเป็นผู้ต้องสงสัยที่สุด และยังพบว่ามีประวัติเสพยาเสพติดอีกด้วย

วันที่ 6 ก.พ.37 เวลา 06.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังไปจับกุมตัวนายสำรวย โตสุข ได้ที่โรงสีข้าวแห่งหนึ่ง หมู่ที่6 ตำบลน้ำตาล อำเภออินทร์บุรี ขณะที่นายสำรวยกำลังทำงานเป็นกุลีแบกข้าวสารอยู่ แล้วนำตัวไปตรวจค้นที่บ้านพักคนงานหลังโรงสี ปรากฏว่าพบเงินสดจำนวน 10000 บาท ที่คาดว่านายสำรวยขโมยมาหลังก่อเหตุ จึงนำตัวไปสอบสวนที่ สภ.อ.อินทร์บุรี ผลการสอบสวน นายสำรวยได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด

หลังจากจับกุมตัวนายสำรวยมาแล้ว ถึงแม้จะปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าพระครูวิมลฯ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่ามีพยานหลักฐานพอที่จะส่งฟ้องดำเนินคดีกับนายสำรวยได้ จึงรวบรวมสำนวนการสอบสวนส่งมอบให้อัยการ เพื่อส่งฟ้องต่อศาลจังหวัดสิงห์บุรี  ผลการพิจารณาของศาลชั้นต้น ได้ตัดสินให้ประหารชีวิตนายสำรวย และถูกส่งตัวมาคุมขังที่เรือนจำกลางบางขวาง ซึ่งได้ใช้สิทธิ์ในการต่อสู้คดีชั้นศาลอุทธรณ์ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด  ผลการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น ข.ช.สำรวยได้ใช้สิทธิ์ในการสู้คดีชั้นศาลฎีกาตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดอีก  ผลการพิจารณาของศาลฎีกา ยังคงตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ กลายเป็นนักโทษเด็ดขาด

เมื่อคดีถึงที่สุดกลายมาเป็นนักโทษเด็ดขาดแล้ว น.ช.สำรวยได้ทำหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้าฯขอพระราชทานอภัยโทษตามสิทธิ์ในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้ ผลการพิจารณาของกระทรวงมหาดไทยมีความเห็นว่า น.ช.สำรวยเคยบวชเรียนมาก่อน โดยมีพระครูวิมล ศรีลาภิรัตน์ เป็นพระอุปัชฌาย์ แต่กลับไม่ทราบซึ้งในพระธรรมวินัย ไม่กตัญญูรู้คุณต่อพระผู้ดูแลและบวชให้ ไม่สามารถขัดเกลาตัวเองให้เป็นคนดีได้ กลับประพฤติตัวเนรคุณผู้อยู่ในสมณะเพศที่มีวัยชรา ที่ไม่สามารถต่อสู้ได้ ด้วยใจอำมหิต โหดเหี้ยม เป็นภัยต่อสังคม ไม่ควรสนับสนุนให้มีการขอพระราชทานอภัยโทษ จึงเห็นควรยกฎีกา

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน 2542 เวลาประมาณ 10.45 น. ข้าพเจ้าได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขังอย่างเป็นความลับว่า ในวันนี้จะมีการประหารชีวิตนักโทษจำนวน 2 ราย ขอให้เตรียมตัวและอุปกรณ์สิ่งของต่างๆ ที่ต้องใช้ในการประหารชีวิตให้พร้อม โดยยังไม่ได้แจ้งรายชื่อนักโทษที่จะถูกประหารให้ข้าพเจ้าทราบแต่อย่างใด

ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไปจัดเตรียมสิ่งของที่ข้าพเจ้าต้องใช้ในการนำนักโทษไปประหาร ซึ่งสิ่งของที่ข้าพเจ้าต้องใช้อยู่เป็นประจำในการทำหน้าที่พี่เลี้ยงคือมีดสำหรับตัดด้ายดิบ(คัตเตอร์) กุญแจมือ ส่วนเจ้าหน้าที่รายอื่นได้ไปจัดเตรียมในส่วนที่ตนรับผิดชอบเช่นบางนายไปจัดเตรียมอาวุธปืนและกระสุน บางนายไปจัดเตรียมผ้าดิบและด้ายดิบเป็นต้น เสร็จแล้วต่างแยกย้ายกันไปทำการสวดมนต์ไหว้พระหรือกระทำพิธีตามความเชื่อของแต่ละคน

เวลา 16.00 น. ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีก 4 นาย(ขอมาเสริมกำลัง 2 นาย) ได้รับทราบรายชื่อนักโทษที่จะถูกทำการประหารชีวิตในวันนี้ ซึ่งมี น.ช.สำรวย โตสุข และ น.ช.พันธุ์ สายทอง เมื่อทราบชื่อนักโทษแล้วก็ได้จัดแบ่งกำลังเป็น 2 ชุด โดยข้าพเจ้ารับหน้าที่ดูแลน.ช.พันธุ์พร้อมกับพี่เลี้ยงอีกหนึ่งนาย เวลา 16.10 น. ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงทั้งหมดพร้อมด้วยหัวหน้าฝ่ายควบคุมกลาง ได้เข้าไปทำการเบิกตัว น.ช.สำรวยและน.ช.พันธุ์ ที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1

เมื่อเข้าไปถึงห้องควบคุมนักโทษประหาร ข้าพเจ้าได้แยกไปเบิกตัวน.ช.พันธุ์ที่อีกห้องหนึ่ง ช่วงนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ได้เห็นอาการของน.ช.สำรวย แต่ฟังจากการบอกเล่าของชุดพี่เลี้ยงที่เข้าไปเบิกตัวน.ช.สำรวยแล้ว มีสภาพอาการความรู้สึกไม่แตกต่างจากนักโทษประหารรายอื่นๆเท่าใด

หลังจากพี่เลี้ยงอีกชุดได้นำ น.ช.สำรวยมาถึงหมวดผู้ช่วยเหลือแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร ได้เข้าไปพิมพ์ลายนิ้วมือของ น.ช.สำรวยก่อน ช่วงนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งถาม น.ช.สำรวยว่าได้ทำจริงหรือเปล่า  น.ช.สำรวยได้ตอบว่า “ไม่จริงครับ ลองคิดดูเถอะครับ ผมจะไปทำได้ยังไง ในเมื่อท่านพระครูมีบุญคุณกับผมมาก และผมก็เป็นชาวพุทธเคยบวชเรียนมาแล้ว ถึงผมจะเคยเสพยาก็จริง แต่ผมไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใคร ผมเกลียดตำรวจครับ ที่ผมโดนมาเป็นอย่างนี้ก็เพราะตำรวจ  พวกพี่ๆที่มาพิมพ์มือผมอย่าได้ไปทำกับใครนะครับ (หมายถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ) สงสารครอบครัวและลูกเมียเขาเถอะครับ ในห้องประหารมีผู้บริสุทธิ์อยู่อีกหลายคน ผมรู้ดีเพราะพวกผมที่อยู่ในห้องประหารจะเปิดใจเล่าเรื่องราวให้กันฟัง ใครทำจริงใครถูกใส่ร้ายพวกผมจะรู้กันหมด”

สารวัตรโกมลจึงพูดไปว่า “ถ้าสำรวยไม่ได้ทำ แล้วเขาจะเอาพยานหลักฐานที่ไหนมาส่งฟ้องสำรวยได้ การดำเนินคดีอาญาไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ตำรวจจะต้องมีพยานหลักฐานเพียงพอ ไม่เช่นนั้นจะส่งฟ้องดำเนินคดีไม่ได้” น. ช.สำรวยได้ยินดังนั้นจึงระบายเรื่องราวออกมาทันที

“ ในวันที่เกิดเหตุฆ่าท่านพระครูนั้น เมื่อผมรู้เรื่อง ผมเองก็รู้สึกเสียใจอย่างมากไม่ต่างจากคนอื่น และยังสาปแช่งคนที่ฆ่าท่านพระครูของผม เพราะผมมีความสนิทสนมกับท่านพระครูมาก เวลาผมขาดเหลืออะไร ก็มักจะไปขอความช่วยเหลือ ซึ่งท่านก็ได้ให้ผมมาตลอด แถมยังเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ผมอีกด้วย ในคืนวันก่อนเกิดเหตุนั้น ผมได้ไปหาท่านพระครูจริง แต่ผมเพียงแต่ไปขอความช่วยเหลือจากท่านเรื่องเงิน ตอนขากลับผมเห็นลูกศิษย์ของท่านพระครูนั่งอยู่ที่หน้ากุฏิ ผมไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมมารบกวนท่านพระครู เลยขู่เด็กคนนั้นไปไม่ให้บอกใครว่าผมได้มาหาท่านพระครู จนวันต่อมาผมถึงได้รู้ว่าท่านพระครูได้ถูกฆ่าไปแล้ว ถ้าผมทำจริงจะปล่อยเด็กคนนั้นไว้ให้เป็นพยานมัดตัวผมทำไม

                      ผมเองมีอาชีพเป็นจับกังแบกกระสอบข้าวสารไปวันๆ อยู่ดีๆก็มีตำรวจมาจับผมไป เมื่อไปถึงโรงพัก เห็นมีคนถูกจับมาแล้วอีก 2 คน เป็นพวกขี้ยาแบบผม เมื่อผมถามตำรวจไปว่าจับมาเรื่องอะไร ก็ได้คำตอบมาว่า อั๊วขอให้พวกลื้อมาช่วยราชการหน่อยเดี๋ยวก็รู้เองอย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้ สักพักมีการนำไม้สั้นไม้ยาวมาให้จับ ปรากฏว่าผมจับได้ไม้สั้น ตำรวจจึงนำอีก 2 คนออกจากห้องไป

ต่อมาได้มีการเอาถุงย่าม สมุดฝากเงิน ช้อนส้อม ขันน้ำแล้วก็จีวรพระมาให้ผมดู ถามผมว่าเคยเห็นไหม ผมได้ตอบปฏิเสธไป แต่มีตำรวจคนหนึ่งได้บอกให้ผมหยิบของทั้งหมดขึ้นมาดูให้ดีๆ เสร็จแล้วให้หยิบของทั้งหมดใส่ถุงส่งคืนให้ตำรวจ ผมเองไม่รู้เรื่องอะไรจึงได้ทำตามที่ตำรวจบอก แต่แล้วตำรวจได้ตั้งข้อหาว่าผมเป็นคนฆ่าท่านพระครู โดยมีหลักฐานเป็นเงินสด 10,000 บาท ซึ่งผมไม่รู้ว่าตำรวจไปเอามาจากไหน และลายนิ้วมือของผมที่ติดอยู่กับสิ่งของที่ตำรวจเอามาให้ผมดู ตำรวจได้บอกผมทีหลังว่าเป็นของท่านพระครู พอผมรู้อย่างนั้นจึงได้ปฏิเสธข้อหาไป แต่ตำรวจได้พยายามสอบสวนผมหลายครั้ง และซ้อมผมจะให้ผมรับว่าเป็นคนฆ่าพระครู ผมไม่ได้เป็นคนทำผมจึงไม่ยอมรับ แล้วส่งผมฟ้องศาลซึ่งผมก็ปฏิเสธมาตลอด แต่ศาลเชื่อหลักฐานของตำรวจมากกว่าจึงตัดสินประหารชีวิตผม และถ้าวันนั้นผมจับได้ไม้ยาว ผมคงไม่ต้องมาช่วยราชการจนกลายมาเป็นอย่างนี้หรอกครับ

หลังจาก น.ช.สำรวยเล่าจบ พวกเจ้าหน้าที่ที่ได้ยินเรื่องราวต่างวิจารณ์กันไปต่างๆนานา ในส่วนตัวของข้าพเจ้า ไม่อยากจะเชื่อว่าที่ น.ช.สำรวย เล่ามานั้นเป็นความจริง เพราะการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนาย จะต้องรอบคอบในการทำคดี พยานหลักฐานต่างๆจะต้องเพียงพอ ไม่น่าจะเป็นการยัดเยียดข้อหาให้ด้วยวิธีง่ายๆเช่นนี้ แต่ถ้าเป็นจริงอย่างเช่นที่เล่ามา ก็ต้องถือว่าเป็นกรรมเก่าของ น.ช.สำรวยก็แล้วกัน

เมื่อเจ้าหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วมือนักโทษทั้งสองเสร็จ เวรผู้ใหญ่ได้ทำการอ่านคำสั่งจากสำนักนายกรัฐมนตรีให้ น.ช.สำรวยและน.ช.พันธุ์ฟัง แล้วให้เซ็นทราบในคำสั่งนั้น ต่อจากนั้นได้ให้ทำพินัยกรรมซึ่ง น.ช.สำรวยปฏิเสธที่จะทำ เมื่อเปิดโอกาสให้เขียนจดหมาย น.ช.สำรวยได้เขียนเพียงครึ่งหน้ากระดาษ โดยให้เหตุผลว่าเป็นคนเขียนหนังสือไม่เก่ง หลังจากเขียนจดหมายเสร็จ น.ช.สำรวยได้กล่าวว่า “ ผมขออโหสิกรรมให้พวกหัวหน้าทุกคน และพี่ๆตำรวจที่มาในวันนี้ด้วย ผมรู้ดีว่าทุกคนต้องทำตามหน้าที่ แต่ผมขอสาปแช่งและขออาฆาตผู้ที่ทำให้ผมต้องมาเป็นอย่างนี้ไปทุกชาติ”

พี่เลี้ยงนายหนึ่งได้ปลอบใจและแนะนำให้ น.ช.สำรวยเลิกความอาฆาตแค้นเสีย น.ช.สำรวยได้แต่ส่ายหัวไปมา พี่เลี้ยงนายหนึ่งจึงได้ไปยกอาหารมื้อสุดท้ายมาให้น.ช.สำรวย แต่น.ช.สำรวยไม่แตะต้องอาหารแม้แต่น้อย  หลังอาหารมื้อสุดท้าย ได้นำ น.ช.สำรวยไปฟังเทศนาธรรมจากพระสงฆ์พร้อม น.ช.พันธุ์ เสร็จแล้วได้นำนักโทษประหารทั้งสองเดินไปที่ห้องประหาร โดยมีพี่เลี้ยง 2 นายเข้าประคองแขนน.ช.สำรวย และได้แวะกราบไหว้ที่หน้าศาลเจ้าพ่อเจตคุปต์พร้อมน.ช.พันธุ์  แต่เมื่อมาถึงโรงครัว(แดน9) ข้าพเจ้าก็ได้รับคำสั่งให้นำน.ช.สำรวยเข้าไปทำการประหารก่อนเพียงรายเดียว ข้าพเจ้าจึงฝาก น.ช.พันธุ์ไว้กับพี่เลี้ยงอีกสองนาย และสับเปลี่ยนหน้าที่มานำ น.ช.สำรวยไปห้องประหารแทน เมื่อเข้ามาถึงศาลาเย็นใจ ได้ให้นั่งที่เก้าอี้สีขาว ข้าพเจ้าได้หยิบดอกไม้ธูปเทียนส่งให้ น.ช.สำรวย พร้อมกับบอก น.ช.สำรวยว่า “ สำรวยเห็นโบสถ์หลังนั้นไหม ผมอยากให้สำรวยไหว้พระประธานข้างใน แล้วขอให้สำรวยเลิกการอาฆาตจองเวร ไม่ว่าจะกับใครทั้งสิ้น สำรวยจะได้ไปสู่ภพที่ดี ที่ผ่านมาขอให้สำรวยคิดว่าเป็นกรรมเก่า และได้ชดใช้หมดสิ้นในชาตินี้แล้ว”

น.ช.สำรวยได้ถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก แล้วพยักหน้า “ ตกลงครับ ผมอโหสิกรรมให้พวกมันทุกคน” พี่เลี้ยงอีกนายได้หยิบผ้าดิบขึ้นผูกตา น.ช.สำรวย เสร็จแล้วข้าพเจ้าได้ประคองให้ลุกขึ้น นำเข้าไปภายในห้องประหาร เมื่อเข้าไปแล้วได้นำตัวไปที่หลักประหารหลักที่หนึ่ง จับตัวขึ้นนั่งบนแท่นไม้ ทำการผูกมัดตัวกับหลักประหาร ในระหว่างที่ผูกมัดอยู่นั้น น.ช.สำรวยได้ร้องขึ้นว่า “ทำไมผูกแน่นจังเลย ผมจะหายใจไม่ออกแล้ว” ข้าพเจ้าจึงได้บอกไป “จำเป็นต้องผูกให้แน่นนะสำรวย ผมไม่อยากให้สำรวยทรมาน ขอให้ทนแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น” เสร็จแล้วจึงกำหนดจุดหัวใจ ยกแผงผ้าม่านมาปิด และทำการตั้งเป้าตาวัว เมื่อได้ที่ดีแล้วจึงเอาทรายแห้งโรยรอบหลักประหาร และข้าพเจ้าได้กล่าวขออโหสิกรรมอีกครั้งหนึ่ง ซึ่ง น.ช.สำรวยนิ่งเงียบไม่ขยับตัวหรือพูดอะไรออกมาอีก แล้วก็มาถึงหน้าที่ของพลเล็งปืนทำการบรรจุกระสุน และตั้งศูนย์ปืนไปที่เป้าตาวัว เมื่อได้ที่ดีแล้ว เพชฌฆาตที่หนึ่งได้เข้าตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง เสร็จแล้วได้แจ้งให้หัวหน้าชุดประหารทราบ หัวหน้าชุดได้โบกธงแดงลง เพชฌฆาตที่หนึ่งทำการเหนี่ยวไกปืนทันที “ ปัง ๆๆๆๆๆ “ ใช้กระสุนไปทั้งสิ้น 6 นัด ทำการประหารเมื่อเวลา 18.32 น.

เมื่อครบ 3 นาทีข้าพเจ้าและแพทย์ได้เข้าไปตรวจดู ปรากฏว่า น.ช.สำรวยได้สิ้นใจไปแล้ว หัวหน้าชุดประหารจึงสั่งให้นำลงจากหลัก แล้วนำไปเก็บไว้ในห้องเล็ก จากนั้นข้าพเจ้าจึงไปรับน.ช.พันธุ์มาทำการประหารต่อ หลังจากประหารน.ช.พันธุ์แล้ว จึงได้ไปนำร่างของน.ช.สำรวยออกมาจากห้องเล็ก จับให้นอนคว่ำหน้าเพื่อความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วมือต่อไป

ต้องขออภัยต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.อินทร์บุรี ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวพาดพิงถึง ซึ่งข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าจะเป็นไปตามนั้น แต่เพื่อความสมบูรณ์ของหนังสือเล่มนี้ จำเป็นต้องนำทุกคำพูดรวมทั้งอาการต่างๆมาบรรยายประกอบ จึงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ขอให้ดวงวิญญาณของนายสำรวย โตสุข จงไปสู่สุคติภพหมดสิ้นการอาฆาตจองเวรใดๆทั้งสิ้น

 

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!