เพชรบุรี-ปิดตำนาน”แม่กิมไล้”ผู้สืบทอดตำนาน “ขนมหม้อแกง” เมืองเพชรบุรี

เพชรบุรี-ปิดตำนาน”แม่กิมไล้”ผู้สืบทอดตำนาน “ขนมหม้อแกง” เมืองเพชรบุรี

ภาพ-ข่าว:สุรพล นาคนคร

           “แม่กิมไล้ บุญประเสริฐ” ชื่อนี้เป็นที่รู้จักในฐานะหญิงนักสู้ชีวิตด้วยความยากลำบาก มีความเข้มแข็ง อดทน ทำงานตรากตรำอาบเหงื่อต่างน้ำ เร่หาบและรุนรถเข็นขนมขายแถวริมฟุตบาทและในตลาดเมืองเพชรบุรีตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จนสามารถฟันฝ่าอุปสรรคและสามารถผ่านเส้นชัยชีวิตได้เป็นเจ้าของธุรกิจร้านขายขนมหวานพื้นเมืองและของฝาก-ของที่ระลึกของเมืองเพชรบุรี ภายใต้แบรนด์ “แม่กิมไล้” ด้วยความหวานหอมของขนมหม้อแกงสูตรความอร่อยที่ลงตัวและไม่มีใครเหมือน ทำให้หลายคนติดใจจนกลายเป็นสินค้าขึ้นชื่อประจำจังหวัดเพชรบุรีมาจนถึงปัจจุบัน

            แม่กิมไล้ มีชื่อ-สกุลเดิมว่า น.ส.ไล้ ตะบูนพงษ์ เกิดเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๗ ที่ ต.บางตะบูน อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี เป็นบุตรสาวคนที่ ๖ จากจำนวนพี่น้อง ๗ คนของ นายหมู-นางแดง ตะบูนพงษ์ ในวัยเยาว์ครอบครัวของแม่กิมไล้ค่อนข้างมีฐานะ บิดามารดาประกอบอาชีพทำขนมไทยขายในชุมชนสองฟากฝั่งริมแม่น้ำปากอ่าวบางตะบูน และในงานประจำปีตามวัดต่าง ๆ เช่นวัดเขาตะเครา วัดปากอ่าวบางตะบูน และวัดเขายี่สาร เป็นต้น

            แม่กิมไล้เริ่มการศึกษาที่ โรงเรียนวัดปากอ่าว (ญาณสาครวิทยาคาร) ต.บางตะบูนออก อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ช่วงวันหยุดจะร่วมกับ น.ส.ลั้ง ตะบูนพงษ์ หรือ “แม่กิมลั้ง” ผู้เป็นพี่สาว พายเรือนำขนมไปขายให้แก่ชาวบ้านในชุมชนสองฟากฝั่งริมแม่น้ำปากอ่าวบางตะบูน หลังจากเรียนจบชั้น ป.๔ ที่โรงเรียนวัดปากอ่าวแล้ว แม่กิมไล้ได้พบรักกับ จ.ส.ต.กลม บุญประเสริฐ ซึ่งรับราชการเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ที่ สภ.ต.บางตะบูน แต่มารดาไม่ชอบลูกเขยที่เป็นตำรวจยศต่ำ และได้หมายมั่นจะให้บุตรสาวแต่งงานกับชายคนหนึ่งที่มีอายุแก่กว่ากัน ๒๒ ปี แต่แม่กิมไล้ปฏิเสธ เนื่องจากไม่ได้รักชอบผู้ชายที่มารดาเลือกให้ ประกอบกับ จ.ส.ต.กลม ได้ย้ายมาประจำอยู่ที่ สภ.อ.เมืองเพชรบุรี นางไล้จึงหนีตาม จ.ส.ต.กลมมาใช้ชีวิตด้วยกันในตัวเมืองเพชรบุรีขณะมีอายุได้ ๑๘ ปี

             เริ่มแรกทั้งคู่ได้เช่าบ้านพักอาศัยอยู่ในซอยหน้าวัดมหาธาตุ วรวิหาร ต.คลองกระแชง อ.เมือง จ.เพชรบุรี ขณะนั้นแม่กิมไล้มีชีวิตที่แสนจะลำบาก เงินทองก็ไม่มีใช้ เพราะสามีทำงานคนเดียว เงินเดือนก็น้อยเพียงเดือนละ ๗.๕๐ บาทเท่านั้น กับข้าวแต่ละวันจะมีเพียงปลาสีกุนกับนำพริกและผักที่หาเก็บเอาตามข้างบ้าน แต่ถึงแม้ชีวิตจะลำบากแค่ไหน แม่กิมไล้ก็ไม่เคยปริปากบอกใครและไม่คิดที่จะไปขอความช่วยเหลือจากใครด้วยหลังจากอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนคอยทำหน้าที่เลี้ยงลูกทั้ง ๗ คนมาตลอด ๑๐ ปี จนแทบไม่มีโอกาสออกจากบ้านไปไหนเลย เมื่อลูกคนแรกอายุได้ ๙ ปี แม่กิมไล้เห็นว่าตนควรคิดหาอะไรทำเพื่อเป็นการช่วยเพิ่มพูนรายได้ให้แก่ครอบครัวอีกทางหนึ่ง ประกอบกับแม่กิมไล้มีความรู้ในเรื่องการทำขนมหวานที่เรียนรู้จากมารดามาตั้งแต่เด็ก จึงตัดสินใจทำขนมขาย โดยนำเงินทุนเท่าที่มีอยู่ไปซื้ออุปกรณ์และวัตถุดิบมาทำ ทั้งขนมกล้วย ขนมเทียน ขนมตาล และข้าวต้มมัด เสร็จแล้วเดินหาบไปนั่งขายแถวริมฟุตบาทและตามตลาดในตัวเมืองเพชรบุรี ตั้งแต่เช้าจรดค่ำเป็นประจำทุกวัน
              การทำขนมขายในระยะแรกยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร แต่แม่กิมไล้ก็ไม่ย่อท้อ ยังคงก้มหน้าก้มตาทำขนมต่อไป โดยมีลูก ๆ คอยช่วยเหลือเท่าที่พอจะช่วยได้ ส่วนสามีหลังเลิกจากหน้าที่การงานก็จะมาช่วยตัดทางมะพร้าว ฉีกใบตอง คั้นกะทิ และช่วยห่อขนม แม่กิมไล้อดทนต่อสู้กับความยากจน มุ่งมั่นในการทำขนมแบบอดตาหลับขับตานอน จนเริ่มประสบผลสำเร็จ จากขนมที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ก็เริ่มเป็นที่กล่าวขานของชาวตลาดเมืองเพชรบุรี ขนมห่อที่เคยหาบเพียงเล็กน้อยก็ค่อย ๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้น จากที่เคยหาบขนมขายจนหลังแอ่นก็ต้องเปลี่ยนมาใช้เป็นรถเข็นแทน

              ต่อมาแม่กิมไล้ได้เปลี่ยนแนวคิดจากการทำขนมห่อ หันมาทำขนมหวานจำพวก ทองหยิบ ฝอยทอง ลูกชุบ บ้าบิ่น สังขยา ขนมหม้อแกง ฯลฯ โดยลองผิดลองถูกอยู่นานจนได้รสชาติของขนมที่อร่อยถูกปากลูกค้า จากนั้นได้ว่าจ้างช่างที่หน้าวัดยางต่อรถเข็นใส่ตู้กระจก เพื่อใส่ขนมหวานแล้วเข็นออกไปขายอยู่ที่หน้าวัดมหาธาตุ วรวิหาร จ.เพชรบุรี มีอยู่วันหนึ่ง พระเทพวงศาจารย์ หรือ “หลวงพ่ออินทร์” เจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดยาง ในขณะนั้น ผ่านมาเห็นและได้ทักทายกับแม่กิมไล้ว่าจะรวยกันใหญ่แล้ว พร้อมตั้งชื่อให้ว่า “แม่กิมไล้” เป็นชื่อสิริมงคลสำหรับการค้าขายขนมหวานมาจนถึงปัจจุบัน

             ขนมหวานของแม่กิมไล้เริ่มขายดิบขายดีเป็นที่โจทย์ขานของชาวเมืองเพชรบุรี ส่งผลให้แม่กิมไล้เริ่มมีเงินมีทองเก็บ กระทั่งในปี ๒๕๑๕ จึงขยายกิจการเปลี่ยนจากรถเข็นไปขอเช่าพื้นที่เปิดร้านขายขนมหวานที่หน้าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดเพชรบุรี ใกล้โรงค้าไม่ซุ่นเฮงหลี ในซอยข้างธนาคารออมสิน สาขาสะพานจอมเกล้า

            สมัย นายเอนก พยัคฆันตร์ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ได้จัด งานกาชาด ณ สนามหน้าเขาวัง (พระนครคีรี) ภายในงานจัดให้มีการประกวดการทำขนมไทยเมืองเพชร โดยกำหนดให้ทำขนมหม้อแกงสูตรของตัวเอง ซึ่ง ครูทิม วรรณคีรี อาจารย์ใหญ่โรงเรียนวัดดอนไก่เตี้ย ในขณะนั้น ได้นำ “ขนมหม้อแกงของแม่กิมไล้” ส่งเข้าประกวด เมื่อคณะกรรมการได้ชิมขนมหม้อแกงของแม่กิมไล้เห็นว่ามีรสชาติหวานมัน หอมกลมกล่อม และมีความอร่อยเป็นเอกลักษณ์ จึงตัดสินให้ขนมหม้อแกงแม่กิมไล้ได้รับรางวัล “ชนะเลิศ”

            จากนั้นมาขนมหม้อแกงแม่กิมไล้เริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ยังเคยให้ทหารมาซื้อไปลิ้มลองอยู่บ่อยครั้ง รวมถึง นายสมจิตร พวงมณี ผู้กว้างขวางสมัยนั้นก็เคยซื้อไปฝาก พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร, จอมพล ถนอม กิตติขจร และ จอมพล ประภาส จารุเสถียร ตลอดจน นายปิยะ อังกินันทน์ ก็ซื้อไปฝาก พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรี อยู่เป็นประจำอีกด้วย ทำให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายยิ่งขึ้น

             ต่อมาในปี ๒๕๑๗ แม่กิมไล้เห็นว่าธุรกิจการทำขนมหวานเริ่มเจริญเติบโตเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายจึงไปซื้อตึกแถวอาคารวัชรเสวีของ นายแพทย์อภิชัย สิริอักษร ที่หน้าเขาวัง ฝั่งตรงข้ามกับร้านขนมเพชรปิ่นแก้ว เปิดเป็นร้านขายของฝากเป็นแห่งแรก ก่อนขยายไปเปิดที่ฝั่งตรงข้ามอีก ๑ ร้าน จนธุรกิจเริ่มเจริญรุ่งเรือง มีลูกค้าและนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก และเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวให้สามารถเลือกซื้อของฝากได้สะดวกและถูกใจ แม่กิมไล้จึงได้ขยายสาขาเพิ่มอีก ๔ สาขา ประกอบด้วยสาขา ต.หัวสะพาน อ.เมืองเพชรบุรี สาขา ต.เขาทโมน อ.บ้านลาด สาขา ต.ท่ายาง และสาขา ต.ไร่ส้ม รวม ๕ สาขา โดยมีลูกหลานร่วมด้วยช่วยกันบริหารจนกิจการรุ่งเรืองมาถึงปัจจุบันนี้

              “แม่กิมไล้ บุญประเสริฐ” ถึงแก่กรรมเมื่อช่วงค่ำวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๗ ณ ร้านแม่กิมไล้ สาขาท่ายาง จ.เพชรบุรี สิริอายุ ๙๐ ปี

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!