ลพบุรี-ทนายดังร้องหลังถูกสารวัตรข่มขู่เอาชีวิต

ลพบุรี-ทนายดังร้องหลังถูกสารวัตรข่มขู่เอาชีวิต

ภาพ/ข่าว:กฤษณ์ สนใจ 

                   ทนายความนักธุรกิจดังลพบุรีร้องผู้บังคับการจังหวัดหลังถูกสารวัตรข่มขู่เอาชีวิต

              ทนายความพร้อมด้วยพร้อมลูกความอดีตนักธุรกิจดังเมืองลพบุรี หอบเอกสาร เข้าร้องทุกข์ ยื่นหนังสือกับ ผบก.ภ.จว.ลพบุรี หลังถูกนายตำรวจยศพันตำรวจโท ข่มขู่เอาชีวิต หลังจากรับว่าความทำคดีฟ้องร้องสินสมรส มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท
นายดนุเดช ศิริวงษ์ตระกุล อายุ 56 ปี ทนายความ พร้อมด้วยนายสิรภพ หรือจรูญ กุมาร อายุ 60 ปี พร้อมด้วยบุตรชายและบุตรสาว เข้ายื่นหนังสือกับ พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า ผบก.ภ.จว.ลพบุรี หลังจากที่นายดนุเดช ได้รับว่าความดำเนินคดีเกี่ยวกับสินสมรส ระว่าง นายสิรภพ กุมาร กับอดีตภรรยา ในคดีแพ่งและคดีอาญา โดยดาบตำรวจร่วมด้วยอีก 1 คน ในข้อหาร่วมกันแจ้งให้พนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ โดยศาลแขวงลพบุรีประทับรับฟ้องซึ่งทั้งสองตกเป็นจำเลย ซึ่งอยู่ในระหว่างการประกันตัวชั้นศาล
                 นายสิรภพ หรือจรูญ กุมาร กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าที่มาร้องทุกข์ ขอความเป็นธรรมจาก ผบก.ภ.จว.ลพบุรี ในวันนี้เนื่องมาจาก ถูกคุกคามจากนายตำรวจยศพันตำรวจโทคนหนึ่ง ที่ลิดรอนสิทธิ์จากสินสมรสที่ร่วมกันหามากับอดีตภรรยา ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวนั้นลูกชายและลูกสาวไม่ได้รับความเป็นธรรม อีกทั้งยังถูกนายตำรวจขู่ คุกคาม ตลอดเวลา เกรงจะไม่ปลอดภัย ได้ร้องทุกข์กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายต่อหลายครั้งก็ไม่มีความคืบหน้า นายสิรภพเล่าว่านายตำรวจผู้นี้เคยถูกออกจากราชการมาแล้วประมาณ 1 ปี ก่อนกลับเข้ามาปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง รอง.ผกก.ได้ โดยคดีที่ตนเองร้องไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างไร แต่กลับต้องมาถูกข่มขู่ คุกคามตลอดระยะเวลา จึงอยากขอร้องให้ทาง ผบก.ตั้งตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาใหม่ และขอให้ย้ายนายตำรวจผู้นี้ออกนอกพื้นที่ไปให้ไกลเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง และลูกๆ ทั้งสองคน รวมถึงไม่อยากให้นายตำรวจผู้นี้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดีและเอกสารราชการ ก่อนที่จะให้ศาลพิจารณาพิพากษา
                 นายสิรภพ กล่าวได้แยกทางกับอดีตภรรยา ก่อนมาเป็นภรรยาของนายตำรวจคนนี้ จนมาถึงเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการฟ้องอย่า ที่มีสินสมรสที่ร่วมสร้างกันหามามีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ซึ่งทรัพย์สินเป็นในส่วนของบุตรทั้งสองคนซึ่งยังไม่ได้รับความเป็นธรรม คนเองขึ้นศาลต่อสู้คดีกันมานับ 10 ปี แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า เนื่องจากว่ามีนายตำรวจคนนี้อยู่เบื้องหลัง คอยขัดขวาง ข่มขู่ กีดกัน คุกคามตลอดเวลาจนตนเอง และลูกทั้งสองคนแทบจะไม่กล้าออกจากบ้าน อีกทั้งทนายหลายต่อหลายคน ที่ตนแต่งตั้งในคดีความก็ขอถอนตัว เนื่องจากถูกข่มขู่ คุกคามเกรงไม่ปลอดภัย ซึ่งตนเองได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนไว้แล้ว การดำเนินการร้องขอความเป็นธรรมนั้น ตนเองจะขอดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ตามขั้นตอนในระดับ ผบก. ผบช.ภ.1 และ ผบ.ตร. ต่อไป
ด้านนายดนุเดช ศิริวงษ์ตระกุล ทนายความที่รับว่าความให้กับนายสิรภพ ต่อจากทนายความอื่นๆ เมื่อประมาณกลางปี 2562 กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าตนเองก็เริ่มถูกคุกคามเรื่อยมา จนถึงขั้นสั่งฆ่า ซึ่งมีข้อความการสนทนาทางแอพพลิเคชั่นไลน์ แท๊ปไลน์ ที่เป็นพยาน หลักฐานสำคัญ ระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องในคดี มีการสั่งการให้ ว่า”มันอยากกินลูกตะกั่วหรือ ให้จัดการเลย” ซึ่งหลักฐานดังกล่าวได้มอบให้กับ รอง ผบก.ไปแล้ว ยอมรับว่าตนเองเกิดความกลัวอย่างร้ายแรงเนื่องจากต้องต่อสู้กับนายตำรวจ ซึ่งไม่เพียงเท่านี้ต่อมาได้มีคลิปเสียงสนทนากับผู้ที่เกี่ยวข้อง มีใจความสำคัญว่า “สั่งให้ฆ่าทนาย” จึงขอให้ ผบก.ภ.จว.ลพบุรี ตั้งคณะกรรมการสอบสวน พันตำรวจโท คนดังกล่าวโดยด่วนที่สุด ขอให้ย้ายออกนอกพื้นที่จังหวัดลพบุรี เพื่อความปลอดภัยของตนเอง และครอบครัวของนายสิรภพ โดยมี พ.ต.อ.บุญชนะพัฒน์ สกุลจารุมรรคา รอง ผบก.ภ.จว.ลพบุรี เป็นผู้รับเรื่องแทน ผบก.ซึ่งติดราชการ

               ทั้งนี้ พ.ต.อ.บุญชนะพัฒน์ สกุลจารุมรรคา รอง.ผบก.ภ.จว.ลพบุรี ได้กล่าวว่า ได้ตรวจสอบหลักฐานในเบื้องต้นแล้ว ซึ่งจะได้นำเข้าพิจารณาและทำการสอบสวน ยืนยันจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย โดยรอง ผบก.รับปากว่าจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ภ.จว.ลพบุรี เข้าดูแลความปลอดภัยให้กับครอบครัวนายสิรภพ และทนายดนุเดช เป็นกรณีพิเศษ จนกว่าการสอบสวนจะแล้วเสร็จ ในส่วนของขั้นตอนการสอบสวนซึ่งต้องใช้ระยะเวลา เบื้องต้นจะสั่งการด้วยวาจา ให้นายตำรวจที่ถูกกล่าวหยุดคุกคาม ซึ่งหากจะต้องพิจารณาถึงการย้ายออกนอกพื้นที่ตามที่กล่าวนั้นผู้บังคับบัญชาจะเป็นผู้พิจารณาเองตามความเหมาะสม ล่าสุดเมื่อเวลา 10.15 น. วันที่ 26 ม.ค.64 ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง พล.ต.ต.พัภลภ แอร่มหล้า ผบก.ภ.จว.ลพบุรี เกี่ยวกับความคืบหน้า ซึ่ง ผบก.กล่าวว่า ตนเองทราบเรื่องแล้ว และได้ส่งเรื่องให้ทางคณะกรรมการสอบสวนพิจารณา ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งในด้านวินัยและอาญาเพื่อความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ซึ่งคาดว่าทางคณะกรรมการการสอบสวนจะใช้เวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานไม่นาน หากผลการสอบสวนออกมาเป็นเช่นไรก็จะทำตามระเบียบวินัยของทางราชการ

สามารถติดตามข่าวสารอื่นๆได้ก่อนใครที่ https://www.siameagle.com
หรือ https://www.facebook.com/siameaglenews/

 

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!