มูลนิธิเมาไม่ขับ ยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุดขอให้พิจารณานโยบายริบยานยนต์ของผู้เมาแล้วขับขี่รถทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต

มูลนิธิเมาไม่ขับ ยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุดขอให้พิจารณานโยบายริบยานยนต์ของผู้เมาแล้วขับขี่รถทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต

ภาพ-ข่าว:บ.ก.อรกัญญา หลิมสัมพันธ์

          นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุด โดยระบุว่า สถานการณ์ความไม่ปลอดภัยทางถนนในประเทศไทยอยู่ในขั้นวิกฤต จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมบนท้องถนน ที่คนไทยต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยแต่ละวันจะมีคนไทยเสียชีวิตเพราะโศกนาฏกรรมบนท้องถนน โดยเฉลี่ย 40 คนต่อวัน คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ปีละประมาณ 5-6 แสนล้านบาทและคำนวณเฉพาะ 10 ปี ย้อนหลัง พบว่ามีคนไทยเสียชีวิตบนถนนถึง 2 แสนคน โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงานที่เป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต แต่ต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโศกนาฏกรรมบนท้องถนน สาเหตุสำคัญที่สร้างความสูญเสียอย่างรุนแรงต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของประชาชนประการหนึ่ง คือผู้ขับขี่เมาสุรา

           มูลนิธิเมาไม่ขับทำงานการรณรงค์เมาไม่ขับ มาตั้งแต่ พ.ศ.2539 ได้พบข้อเท็จริงประการหนึ่งว่าผู้ที่เมาแล้วขับ ไม่ตระหนักในปัญหาดังกล่าว เพราะเห็นว่าอัตราโทษจากการเมาแล้วขับไม่รุนแรง แม้ในกรณีที่ก่อเหตุเมาแล้วขับชนผู้อื่นจนบาดเจ็บและเสียชีวิต ก็ยังได้รับอัตราโทษเบา ดังที่คำกล่าวว่า ถ้าเมาแล้วขับอย่างมากก็แค่ “ จำ ปรับ รอ ” ทำให้สังคมรวมถึงผู้ก่อเหตุไม่เรียนรู้หรือเกรงกลัวต่อโทษ และไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดื่มสุราจนเกิดอาการเมายังฝืนที่ขับขี่ยานพาหนะจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนผู้สัญจรบนถนนอย่างต่อเนื่อง
           ล่าสุด วันที่ 19 พ.ย.2567 พนักงานอัยการสำนักงานคดีศาลแขวง ยื่นฟ้องผู้ขับรถยนต์เทสร่ารายหนึ่ง ในข้อหาขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ศาลแขวงดุสิตพิพากษา จำคุก 2 เดือน ปรับ 10,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ คงจำคุก 1 เดือน ปรับ 5,000 บาท โทษจำคุก รอลงอาญา 1 ปี พักใบอนุญาตขับขี่ 6 เดือน และริบยานยนต์ของกลาง

         มูลนิธิเมาไม่ขับ ขอเรียนว่าหากท่านจะมีคำสั่งเป็นแนวทางให้พนักงานอัยการมีคำขอให้ศาลสั่ง “ริบยานยนต์” ของผู้ที่เมาสุราแล้วขับรถเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตของผู้อื่น จะทำให้สังคมเกิดการเรียนรู้ ตระหนัก เกรงกลัวจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถ โดยไม่ขับขี่รถขณะเมาสุราอีกต่อไป เช่นนี้ การดำเนินคดีของพนักงานอัยการจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างประมาณคุณค่าไม่ได้ และทำให้องค์กรอัยการได้รับการยอมรับเชื่อมั่นในการเป็นองค์กรชั้นนำในกระบวนการยุติธรรม เป็นที่พึ่งที่แท้จริงต่อประชาชน

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!