ชลบุรี-ใบ้หลอกใบ้สูญเงิน พาทิ้งพัทยา..!!
ภาพ-ข่าว:นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี
ทอมใบ้ ถูกสาวใบ้หลอกให้รัก ผลาญเงินขายรถ เงินดิจิตอล จนหมดตัว ช้ำควงผัวตัวจริง สวมกั๊กตำรวจ ทำร้าย พาทิ้งพัทยา ด้านจนท.เร่งสอบ-ประสานพื้นที่เกิดเหตุจริง
จากกรณี น.ส.ชุติพัฒน์ หนูกรด หรือแอร์ อายุ 33 ปี เดินทางมาขอความช่วยเหลือ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจพัทยา หลังถูกแฟนสาว หลอกพามาทิ้งไว้ที่ชายหาดเมืองพัทยา ไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้ ขอให้เจ้าหน้าที่ติดต่อญาติและกลุ่มเพื่อนให้เดินทางมารับกลับ แต่ด้วยเจ้าตัวมีความบกพร่องทางการได้ยินและสื่อสาร (เป็นใบ้หูหนวก) จึงเป็นอุปสรรค์ในการสื่อสาร ระหว่างเจ้าตัวและเจ้าหน้าที่ กว่าจะสอบถามกันได้ใจความนานกว่า 3 ชม.
ล่าสุด เมื่อเวลา 03.06 น.วันที่ 28 ตุลาคม 2567 น.ส.กระจั่น เหมือนช้าง อายุ 56 ปีมารดา ญาติ และกลุ่มเพื่อนของ น.ส.ชุติพัฒน์ หนูกรด หรือแอร์ อายุ 33 ปี เดินทางจากกาญจนบุรีและสมุทรปราการ มาถึง สภ.เมืองพัทยา ด้วยอาการดีใจ หมดความกังวลใจ เมื่อเจอตัว น.ส.แอร์ ยังคงปลอดภัย แต่มีร่องรอยถูกทำร้าย เขียวช้ำตามร่างกาย ทั้งที่ใบหน้า ศีรษะ และขาทั้งสองข้าง ถูกของแข็งตีจนเขียวเป็นจ้ำ หลายจุด จึงขอเข้าพบ ร.ต.อ.อนิรุจน์ เจ๊ะเหราะ รองสว.สอบสวน สภ.เมืองพัทยา เพื่อรับตัวกลับและปรึกษาในด้านการดำเนินคดี
ในขณะที่มารดาและญาติเปิดเผยว่า แฟนสาวของ น.ส.ชุติพัฒน์ หนูกรด หรือแอร์ ชื่อ น.ส.น้ำ คบหาดูใจกันได้ประมาณ 3 เดือน และเคยไปมาหาสู่ที่บ้านในจังหวัดกาญจนบุรี กระทั่งเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จับได้ว่า น.ส.น้ำ มีสามีอยู่แล้ว ก็คิดว่าทั้งสองคงจะเลิกลากันไป แต่กลับไม่ได้เป็นอย่างที่ทางครอบครัวคิด จู่ๆเมื่อ 2-3 วันก่อนก็ไม่สามารถติดต่อ น.ส.แอร์ ได้ ตอนแรกก็คิดว่า น.ส.แอร์ จะประชดแม่ เดียวจะต้องติดต่อมาเอง เพราะก่อนหน้านี้ น.ส.แอร์ มักจะขู่ฆ่าตัวตาย แต่เมื่อทางบ้านปลอบใจ และส่งเงินให้ก็สามารถยุติเหตุการณ์นั้นได้ ซึ่งทุกคนก็ไม่รู้ว่าที่น.ส.แอร์ ทำลงไปนั้นเพราะถูกใครบังคับหรือไม่
แต่ครั้งนี้ไม่มีการติดต่อกลับมาแต่อย่างใด ทั้งยังไม่สามารถติดต่อได้ เมื่อสอบถามไปหากลุ่มเพื่อนก็ไม่มีใครเจอตัวเช่นกัน จึงพากันออกตาม จากจังหวัดกาญจนบุรีสมุทรปราการกระทั่งรู้ว่า เจ้าตัวถูกทำร้ายร่างกายและได้หายไปกับน.ส.น้ำ และสามีของ น.ส.น้ำ สร้างความเป็นห่วงให้กับครอบครัวและกลุ่มเพื่อนเป็นอย่างมาก จึงช่วยกันออกตามหา กระทั่งได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจพัทยาว่า น.ส.แอร์ มาขอความช่วยเหลือ ให้ติดต่อญาติและพากลับบ้าน จึงรีบพากันเดินทางมาที่ สภ.เมืองพัทยาดังกล่าว
ด้านกลุ่มเพื่อนให้ข้อมูลพร้อมเปิดเผยคลิปวิดีโอ ที่บันทึกภาพ น.ส.แอร์ ถูกแฟนสาวคือ น.ส.น้ำ ทำร้ายร่างกาย และสามีขอ งน.ส.น้ำ ซึ่งสวมเสื้อกั๊กสกรีนด้านหลังเป็นภาษาอังกฤษ คำว่า โปลิศ ขว้างโทรศัพท์มือถือใส่ ก่อนจะเดินปรี่เข้าไปหา น.ส.แอร์ ด้วยท่าทีขึงขัง ข่มขู่ ขณะเดียวกัน น.ส.แอร์ ก็อยู่ในอาการหวาดผวาอย่างมาก ซึ่งกลุ่มเพื่อนที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็ไม่มีใครกล้าที่จะลุกขึ้นช่วยเหลือหรือห้ามปรามแต่อย่างใด เพราะกลัวว่าจะถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บไปด้วย
ต่อมา น.ส.แอร์ ได้ให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผ่านเพื่อนซึ่งทำหน้าที่เป็นล่ามแปลภาษามือ ด้วยการเขียนบ้างและพูดบ้าง(แต่ไม่ชัดนัก) พอได้ใจความว่าเมื่อวันเสาร์ 26 ต.ค. ที่ผ่านมาเป็นวันที่เกิดเหตุตามที่ปรากฏในคลิป โดยสาเหตุที่ทำร้าย นั้นเพราะทั้งสองต้องการเงิน จึงได้บังคับให้ตนเองนำรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ 110 สีเทาดำ ไปขายที่ร้านแถวพระราม 3 ในราคา 30,500 บาท รวมถึงโทรศัพท์มือถือ บัตรคนพิการรวมถึงเงินดิจิตอล 10,000 บาท ซึ่งตนเองอยู่ในกลุ่มเปราะบางจึงได้ก่อน แต่ก็ถูกสองผัวเมียยึดไปทั้งหมด ก่อนจะพาตนเองนั่งรถ มาปล่อยทิ้งในพื้นที่เมืองพัทยา ตนเองจึงมาขอความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อสองผัวเมีย คู่นี้รู้ว่าตัวเองเข้าแจ้งความ ก็พยายามจะมารับตัวไป โชคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจให้การช่วยเหลือไว้ก่อน
ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นพื้นที่เมืองพัทยาเป็นเพียงพื้นที่ปลายเหตุ ที่ผู้เสียหายถูกนำมาปล่อยทิ้งไว้เท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ร.ต.อ.อนิรุจน์ เจ๊ะเหราะ รองสว.สอบสวน สภ.เมืองพัทยา ร.ต.ท.กิตติพงษ์ แถลงกัน รองสว.สอบสวน สภ.เมืองพัทยา เกรงว่า ผู้เสียหายจะได้รับอันตราย จึงรับแจ้งความ และสอบปากคำไว้ในเบื้องต้น ซึ่งก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากการสื่อสารกับกลุ่มผู้เสียหายนั้น ซึ่งมีความบกพร่องทางด้านการสื่อสารและได้ยิน ถึงแม้จะมีกลุ่มญาติ และเพื่อนช่วยแปลได้ในบางประเด็น
เบื้องต้นทราบชื่อและนามสกุลจริงของสองสามีผู้ก่อเหตุแล้ว โดยฝ่ายชายยังปรากฏว่าเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยของหน่วยงานหนึ่งในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ก่อนประสานให้ข้อมูลต่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ที่เกิดเหตุ เพื่อขยายผลหาเบาะแส เพิ่มเติมทั้งพยานบุคคล รวมไปถึงกล้องวงจรปิด เพื่อติดตาม ตัวผู้ก่อเหตุทั้งสองราย มาสอบปากคำหากมีการกระทำผิด ก็จะแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อดำเนินคดีตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป