ประจวบคีรีขันธ์-ไฟไหม้พระนอนในถ้ำวิปัสสนาวัดเก่าแก่อายุกว่า 500 ปี

ประจวบคีรีขันธ์-ไฟไหม้พระนอนในถ้ำวิปัสสนาวัดเก่าแก่อายุกว่า 500 ปี

ภาพ/ข่าว: เอกภพ วงษ์ประเสริฐ

               เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 9 มีนาคม 66 นางกฤษณา แผ่แสงจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วยนายชาญวิทย์ อุนหสุทธิยานนท์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายอนุภาพ พูลสวัสดิ์ ประธานกลุ่มเพ็ญพุทธประจวบคีรีขันธ์ นำเจ้าหน้าที่ในสังกัดร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุเพลิงไหม้พระนอนภายในถ้ำวิปัสสนา ของวัดอ่าวน้อย หรือ วัดเขาถ้ำวิปัสสนา หมู่ 2 ตำบลอ่าวน้อย อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
               โดยถ้ำดังกล่าวมีลักษณะกว้างใหญ่ ภายในถ้ำประดิษฐาน พระนั่งวิปัสสนากรรมฐาน หรือปรางสมาธิจำนวน 21 องค์ และประดิษฐานพระนอนขนาดใหญ่จำนวน 2 องค์ ขนาดความยาว 14 เมตร และ 20 เมตร เป็นพระนอนที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นศิลปะร่วมสมัยอู่ทอง-รัตนโกสินทร์ อายุประมาณราว 300-500 ปี ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานที่ทรงคุณค่าของไทยจากกรมศิลปากร อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
               จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า เหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวได้เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา และในปัจจุบันทางวัดได้ดำเนินการเช็ดทำความสะอาด และกำจัดซากปลักหักพังที่ได้รับความเสียหายออกไปเกือบหมดแล้ว ยังคงเหลือเพียงร่องรอยคราบเขม่าสีดำจากเหตุเพลิงไหม้ และความเสียหายที่เกิดขึ้นอยู่บางส่วน โดยองค์พระที่ได้รับความเสียหายเป็นพระนอนขนาด 14 เมตร อยู่ภายในถ้ำขนาดใหญ่ด้านในซึ่งอยู่ติดกับพระวิปัสสนา โดยเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวได้เผาทำลายผ้าจีวรขนาดใหญ่ที่ห่มองค์พระไว้และโต๊ะหมู่บูชาที่ตั้งธูปเทียน สำหรับให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เลื่อมใสศรัทธาได้สักการะกราบไหว้บริเวณหน้าองค์พระพังเสียหายทั้งหมดเท่านั้น ส่วนองค์พระที่นั่งวิปัสสนาที่อยู่ใกล้กันไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด โดยมูลค่าความเสียหายทั้งหมดต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบประเมินอีกครั้ง ส่วนสาเหตุคาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร
               นางกฤษณา แผ่แสงจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า วัดแห่งนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานจากกรมศิลปากร และอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของสำนักศิลปากรที่ 1 จังหวัดราชบุรี ซึ่งเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้จากสาเหตุไฟฟ้าลัดวงจร ทางสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จึงได้ดำเนินการเข้ามาสำรวจตรวจสอบในเบื้องต้น และแจ้งไปยังสำนักศิลปากรที่ 1 จังหวัดราชบุรี เพื่อจะได้นำผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดำเนินการตรวจสอบและประเมินมูลค่าความเสียหายอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะนำไปพิจารณาเข้ามาดำเนินการปรับปรุงบูรณะให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยจะพิจารณาตามความเร่งด่วน ซึ่งการบูรณะซ่อมแซมปฏิสังขรณ์หากรอระบบของส่วนราชการก็อาจจะเกิดความล่าช้า หากมีประชาชนผู้ใจบุญที่ร่วมบริจาคก็อาจจะทำให้การบูรณะซ่อมแซมสำเร็จรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งก็ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมศิลปากรด้วย นางกฤษณา กล่าว
              ด้านนายอนุภาพ พูลสวัสดิ์ ประธานกลุ่มเป็นพุทธประจวบคีรีขันธ์ และเป็นผู้นำญาติธรรมเข้ามาบุกเบิกบูรณะปฏิสังขรณ์จนปัจจุบันวัดแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ทรงคุณค่าและขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของจังหวัด ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า โดยความคิดส่วนตัวสาเหตุของการเกิดเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้น่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร เนื่องจากวันเกิดเหตุทางวัดได้เปิดไฟส่องสว่างภายในถ้ำช่วงเช้า และหลังจากนั้นได้มีผู้ดูแลบอกว่าไฟในถ้ำดับทางวัดจึงได้ให้ช่างเข้ามาดำเนินการแก้ไขจนไฟติดส่องสว่างก็พบว่า ภายในถ้ำมีอุณหภูมิที่ร้อนและมีร่องรอยการถูกไฟไหม้เป็นสีดำบริเวณองค์พระซึ่งมีผ้าจีวรขนาดใหญ่ห่มอยู่ และโต๊ะหมู่บูชาสำหรับตั้งธูปเทียนถูกไฟเผาทำลายจนกลายเป็นขี้เถ้าและยังมีลักษณะอุ่นอยู่ แต่ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว เคยเกิดเหตุแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาร์ จุดไฟเผาธูปเทียนภายในถ้ำแห่งนี้ และงัดแงะลักขโมยเงินค่าไฟในตู้รับบริจาคที่นักท่องเที่ยวร่วมทำบุญมาครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งในครั้งนี้โดยส่วนตัวเชื่อว่าเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวน่าจะเกิดจากสาเหตุไฟฟ้าลัดวงจร นายอนุภาพ กล่าว

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!