ราชบุรี-สำนักงานอัยการศาลสูงภาค 7 แจงคดีคืบหน้าคดีเปรมชัยกับพวก

ราชบุรี-สำนักงานอัยการศาลสูงภาค 7 แจงคดีคืบหน้าคดีเปรมชัยกับพวก

ภาพ/ข่าว:สุจินต์ นฤภัย (เต้)

สำนักงานอัยการศาลสูงภาค 7 สำนักงานอัยการสูงสุด แถลงผลชี้แจงความคืบหน้าคดี นายเปรมชัย กรรณสูต กับพวก ที่ห้องประชุมสำนักงานอัยการภาค 7 อุทธรณ์คดีนายเปรมชัยกับพวกรวม 4 คน ต่อศาลจังหวัดทองผาภูมิ โดยได้อุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 รับโทษเท่ากับจำเลยที่ 4

           วันที่ 24 พ.ค.62 ที่ห้องประชุมยกกระบัตรเมืองราชบุรี สำนักงานอัยการภาค 7 อ.เมือง จ.ราชบุรี นายสุนทร สุรวัฒนาวงศ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 7 นายบุญธรรม วิริยะประสิทธิ์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 7 นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด นายอภิชาติ ต่อดำรง อัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลสูง 1 ภาค 7 ร่วมกันแถลงผลความคืบหน้าตามที่อัยการจังหวัดทองผาภูมิ ได้ยื่นฟ้องนายเปรมชัย กรรณสูต กับพวก รวม 4 คน ต่อศาลจังหวัดทองผาภูมิ ต่อมาเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2562 ศาลจังหวัดทองผาภูมิ ได้มีคำพิพากษาคดีดังกล่าว ดังนี้
            จำเลยที่ 1 นายเปรมชัย กรรณสูต จำเลยที่ 1 มีความผิดตามฟ้องโจทก์ข้อหา ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในสาธารณะฯโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้จำคุก 6 เดือน ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้อื่นล่าสัตว์ป่า (เสือดำ) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จำคุก 8 เดือน ฐานร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง(ไก่ฟ้าหลังเทา ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 2 เดือน รวมจำคุกนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น 16 เดือน โดยให้ยกฟ้อง 2 ข้อหาฐานร่วมกันเก็บของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และข้อหาร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง

            จำเลยที่ 2 นายยงค์ โดดเครือ จำเลยที่ 2 ข้อหา ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 เดือน ร่วมกันพาอาวุธไปในที่สาธารณะฯโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน ร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำและไก่ฟ้าหลังเทา) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 13 เดือน โดยยกฟ้อง 2 ข้อหา ร่วมกันล่าสัตว์ป่า (เสือดำ)ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ

            จำเลยที่ 3 นางนที เรียมแสน ลงโทษเพียงข้อหาร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำและไก่ฟ้าหลังเทา)ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 4 เดือนและปรับเป็นเงินอีก 10,000 บาท โดยโทษจำคุกนั้นให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ยกฟ้อง ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะฯโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานร่วมกันพาอาวุธไปในทางสาธารณะฯ โดยไม่มีเหตุสมควร

            จำเลยที่ 4 นายธานี ทุมมาศ หรือ พรานแกละ จำเลยที่ 4 ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 เดือน ร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำและไก่ฟ้าหลังเทา) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 4 เดือน ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะฯโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน พยายามล่าสัตว์ (กระรอก) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จำคุก 4 เดือน ล่าสัตว์ป่า(เสือดำ) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จำคุก 1 ปี และเก็บของป่า(ซากสัตว์) ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำคุก 1 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 2 ปี 17 เดือน
            โดยศาลยังพิพากษาให้นายเปรมชัย กรรณสูต จำเลยที่ 1 และนายธานี ทุมมาศ จำเลยที่ 4 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่กรมอุทยานแห่งชาติฯจำนวน 2 ล้านบาท (มูลค่าความเสียหายเสือดำ) พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2561

            หลังจากที่ศาลจังหวัดทองผาภูมิมีคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว ต่อมา นายสุนทร สุรวัฒนาวงศ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 7 ได้ตั้งคณะทำงานพิจารณาถ้อยคำ สำนวนและคำพิพากษาของศาลจังหวัดทองผาภูมิ โดยมีนายอภิชาต ต่อดำรง อัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลสูง 1 ภาค 7 เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และนายสมชาย ศักดิ์สุนทร อัยการศาลสูงจังหวัดกาญจนบุรี และ ร.ต.อ. สัมฤทธิ์ อิ้งจะนิล อัยการอาวุโส ทำหน้าที่อัยการศาลสูงจังหวัดกาญจนบุรี เป็นคณะทำงาน แล้วเสนอตามลำดับชั้นให้อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 7 เพื่อพิจารณามีความเห็นและมีคำสั่งคือ

            นายเปรมชัย กรรณสูตร จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ให้ลงโทษฐานเป็นตัวการให้ผู้อื่นล่าสัตว์ป่า ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า(ศาลจังหวัดทองผาภูมิวินิจฉัยว่าเป็นผู้สนับสนุน) อุทธรณ์ให้ลงโทษฐานร่วมกันเก็บหาของป่าภายในเขตป่าสงวน อุทธรณ์ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง ซึ่งศาลจังหวัดทองผาภูมิพิพากษายกฟ้อง อุทธรณ์ว่าการมีซากเสือดำ และซากไก่ป่า (ไก่ฟ้าหลังเทา) เป็นการกระทำหลายกรรม(ศาลจังหวัดทองผาภูมิพิพากษาว่าเป็นกรรมเดียว) อุทธรณ์ข้อหาร่วมกันพกพาอาวุธปืน และพาอาวุธมีด เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ซึ่งศาลจังหวัดทองผาภูมิพิพากษาว่าเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงบทหนัก ฐานพาอาวุธปืน อุทธรณ์ขอให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 3,012,000 บาท เต็มตามฟ้อง

            นายยงค์ โดดเครือ จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันพาอาวุธไปในที่สาธารณะฯโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยไม่ลดโทษ เนื่องจากจำเลยให้การปฏิเสธ แต่ต่อมาได้ถอนคำให้การเดิมเป็นให้การรับสารภาพ อุทธรณ์ให้ลงโทษ ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธ์(ศาลจังหวัดทองผาภูมิยกฟ้อง) อุทธรณ์ขอให้ลงโทษ ฐานร่วมกันเก็บหาของป่าและมีซากสัตว์ป่าคุ้มครอง ซึ่งศาลจังหวัดทองผาภูมิยกฟ้อง อุทธรณ์ว่าการมีซากเสือดำ และซากไก่ป่า เป็นการกระทำหลายกรรม (ศาลจังหวัดทองผาภูมิพิพากษาว่าเป็นกรรมเดียว) อุทธรณ์ข้อหาร่วมกันพาอาวุธปืน และพาอาวุธมีด เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ซึ่งศาลจ.ทองผากภูมิพิพากษาว่าเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงบทหนัก ฐานพาอาวุธปืน

             นางนที เรียมแสน จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ขอให้ลงโทษ ฐานร่วมกันเก็บหาของป่าและมีซากสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในครอบครอง ซึ่งศาลจ.ทองผาภูมิยกฟ้อง อุทธรณ์ว่าการมีซากเสือดำ และซากไก่ป่า เป็นการกระทำหลายกรรม(ศาลจ.ทองผาภูมิพิพากษาว่าเป็นกรรมเดียว) อุทธรณ์ขอให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 3,012,000 บาท เต็มตามฟ้อง

             นายธานี ทุมมาศ จำเลยที่ 4 อุทธรณ์ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองและร่วมกันพาอาวุธไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยไม่ลดโทษ เนื่องจากจำเลยให้การปฏิเสธ แต่ต่อมาได้ถอนคำให้การเดิมเป็นการให้การับสารภาพ อุทธรณ์ว่าการมีซากเสือดำ และซากไก่ป่า เป็นการกระทำหลายกรรม (ศาลจ.ทองผาภูมิพิพากษาว่าเป็นกรรมเดียว) อุทธรณ์ให้ลงโทษสูงขึ้น ฐานความผิดพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธ์ฯ ศาลจ.ทองผาภูมิลงโทษจำคุก 4 เดือน โจทก์เห็นว่าน้อยไป อุทธรณ์ข้อหาร่วมกันพาอาวุธปืน และพาอาวุธมีด เป็นความผิด หลายกรรมต่างกัน ศาลจ.ทองผาภูมิพิพากษาว่าเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงบทหนัก ฐานพาอาวุธปืน อุทธรณ์ขอให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย จำนวนจำนวน 3,012,000 บาท เต็มตามฟ้อง
            นอกจากนี้ประเด็นศาลพิพากษาให้คืนเกลือป่น ถุงเกลือป่น (ถุงเปล่า) ถุงดำ และรถยนต์ แบบนั่งสองตอนของกลาง อุทธรณ์ขอให้ริบ (เห็นว่าเป็นทรัพย์ที่ได้ใช้ในการกระทำผิด)
            นายสุนทร สุรวัฒนาวงศ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 7 เปิดเผยว่า โทษที่เป็นตัวการกับโทษที่เป็นตัวสนับสนุนแตกต่างกันคือจะรับโทษแค่ 2 ใน 3 ของตัวการ ซึ่งได้พิจารณาจากข้อเท็จจริง ซึ่งตอนที่ฟ้อง ได้มองว่าเป็นตัวการเพราะมีการร่วมมือร่วมใจกันในการที่จะเข้าไปทำ แต่ศาลใช้ดุลพินิจของท่านว่าคดีนี้ท่านมองแค่สนับสนุน แต่ถ้าเราเห็นต่างไม่เห็นพ้องด้วยเราก็อุทธรณ์ไป

            สำหรับในฐานที่มีการฟ้องเราฟ้องเป็นตัวการ แต่ศาลชั้นต้นท่านลงเป็นผู้สนับสนุนโทษเป็น 2 ใน 3 แต่ถ้าหากเป็นตัวการ หมายความว่าตัวการที่ศาลลงสำหรับจำเลยที่ 4 ว่าเป็นตัวการล่าเสือดำ ถ้าฟังว่าจำเลยที่เราอุทธรณ์ไปเป็นตัวการ โทษที่ลงไปกับจำเลยที่ 4 ก็จะมาลงโทษด้วยเท่ากัน

สามารถติดตามข่าวสารอื่นๆได้ก่อนใครที่ https://www.siameagle.com
หรือ https://www.facebook.com/siameaglenews/

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!