ป้าเรณูติดนักร้องคาเฟ่ คุณป้าหัวใจว้าวุ่น ออกอาการ”หลง อยาก”

ป้าเรณูติดนักร้องคาเฟ่ คุณป้าหัวใจว้าวุ่น ออกอาการ”หลง อยาก”

เรื่องโดย:พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน)

‘ปิ๊งรัก’ นักร้องหนุ่มร้านอาหารคาเฟ่ โยมทุกข์เศร้า โหยหา ต้องการสัมผัส!?!

         เจริญพรญาติโยมทุกท่าน ฉบับนี้ อาตมานำเรื่อง ความหลง ของสาวใหญ่ อุทาหรณ์สอนใจ ประสบการณ์ตรง จากโยมทางบ้าน เมื่อรักแล้วย่อมมีทุกข์เป็นเงาตามติด มีคิดถึง โหยหา อยากได้ใคร่มี อยากเป็นเจ้าของตลอดเวลา  เพียงผู้เดียว!!!
          พลันที่รายการคิดไม่ออกบอกหลวงพี่น้ำฝน ทางช่อง 5 จบลง โทรศัพท์สายนี้ก็เข้ามา เป็นเสียงโยมสุภาพสตรี เล่าถึงเหตุที่ไม่สบายใจ ด้วยวัย 53 ปี สามีตาย มีลูกชาย 1 คน ปัจจุบันค้าขาย รายได้ดี เหลือกินเหลือใช้ ดำเนินชีวิตสบายๆ แสวงหาความสุขตามอัตภาพ และสถานบันเทิงของคนวัยนี้ หนีไม่พ้น สวนอาหาร ใกล้บ้าน มีนักร้องมาขับกล่อมบรรเลง กินดื่มสุขใจ ฟังเพลงสบายอารมณ์ จากนั้นโยมก็ติดใจ ไปบ่อยครั้ง เพราะชื่นชอบนักร้องชายนิสัยดี เอาใจเก่ง เสียงไพเราะ ร้องเพลงออดอ้อนหวานๆ ทำให้คนแก่ตื่นเต้นหัวใจว้าวุ่น กลายเป็นความอยาก มากไปด้วยความต้องการ???
         และแล้วพระเอกในฝันก็ปรากฏตัว เขาคือนักร้องหนุ่มใหญ่วัย 48 ปี หุ่นดีรูปงาม  ร้องเพลงดีเอาใจเก่งขนาดนี้  ก็ต้องมีมาลัย ให้เป็นสินน้ำใจ ติดแบงก์ให้ด้วยความรักใคร่เอ็นดูเมตตา ได้กอดได้หอมแก้มก็แสนสุขใจ
         เมื่อมีความสุขก็โหยหา อยากพบหน้าทุกวัน ตามที่ใจปรารถนาเรียกร้อง!!! ทุกวันอาทิตย์ต้องไป แต่เพื่อนสาวส่วนใหญ่ต่างก็เตือน คอยห้ามปราม แต่โยมไม่เชื่อฟัง ยืนยันความบริสุทธิ์ใจ เพราะกำลังหลงรักอย่างสุดหัวใจ เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ ที่สำคัญลงทุนไปเยอะ….พอสนิทกันมากขึ้น นักร้องหนุ่มเริ่มขอยืมสตางค์ “แต่เขาก็นิสัยดีนะคะหลวงพี่ เขาผ่อนใช้ตามกำหนดทุกครั้ง”
         จนถึงวันนี้โยมคิดว่า มันเป็นความรักฉันเพื่อน ฉันพี่น้อง ปรองดองสัมพันธ์ช่วยเหลือเจือจาน ไม่เคยเกินเลย แค่สัมผัสภายนอก โยมก็รู้สึกพอใจ อุ่นใจ แต่ที่โยมโทร.มาถามหลวงพี่วันนี้ เพราะรู้สึกถึงความทุกข์ เวลาที่คิดถึง อยากเจออยากเห็นหน้าตลอดเวลา แต่ก็ทำได้เพียง อาทิตย์ละสองสามครั้งเท่านั้น  อยากให้หลวงพี่ช่วยหาทางออกให้ที ทำอย่างไรจึงจะคลายความคิดถึงลงได้  “ญาติโยมทุกท่าน จงจำไว้ให้ดี ความรัก หรือ กรรม ทำให้คนตาบอด”
        โยมเคยถามตัวเองไหมว่า “ทำไมฉันจึงรักเธอ” เมื่อเริ่มต้นรู้สึกว่ารักใครสักคน บางครั้งมันอาจเป็นรักแรกพบ บางครั้งมันอาจจะเป็นความรักที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว รู้อีกทีก็รักเขาเข้าแล้ว ในยามโยมมีความสุข อาจไม่สนใจอยากหาคำตอบมากมายว่า “ทำไมฉันจึงรักเธอ” เพราะเมื่อใดที่เรามีความสุขโดยมากเรารู้สึกพอใจความรู้สึกพอทำให้ไม่ได้คิดค้นอยากหาข้อเสีย หรือคิดคำถามให้ต้องหาคำตอบ
         เมื่อเวลาทุกข์ เสียใจ บางคนก็อาจมีคำถามขึ้นมาว่า ทำไมฉันจึงรักเธอหรือฉันรักเธอไปได้ยังไง เพราะเธอนั้นหน้าตาก็ไม่หล่อเหมือน เคน ธีรเดช ไม่ได้รวยเหมือน บิล เกตส์ แถมยังช่างใจร้ายใจดำ ทำกันได้ลง และอื่นๆมากมาย ผุดขึ้นมาในเวลาโกรธ แต่ก็ยังไม่พบคำตอบอยู่ดี ในทางพุทธศาสนา เราเชื่อว่าอะไรใดๆ ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ  การที่เราจะได้เป็นคู่รัก และครองคู่กับใครนั้นย่อมมีเหตุ
         เหตุที่ทำให้เราไปหลงรักเขา ก็มาจากกรรมเก่าที่เคยร่วมทำกันมา และจะคบหายืนยาวอยู่ได้ด้วยร้ายด้วยดี  ต่อๆไปนั้น มาจากกรรมที่ทำเอาไว้ในปัจจุบัน จะคบแล้วมีความสุข หรือทุกข์ เป็นผลของกรรม ซึ่งสะท้อนสิ่งที่ผู้รับผลนั้นกระทำมาก่อนทั้งอดีตชาติ และชาติปัจจุบันทั้งสิ้น!!!
         ดังนั้นหากมีความทุกข์จากรักขึ้นมา ถ้าจะถามว่าทำไมเราต้องมาทุกข์ใจกับคนๆนี้ ก็ต้องตอบว่า มันเป็นผลมาจากกรรมที่คนทั้งสอง ได้ทำร่วมกัน และที่โยมทำมา กรรมเก่าพาโยมลงมาติดกับดัก  กรรมมันเริ่มส่งผลตั้งแต่วันแรกที่ใจโยมเข้าไปผูกกับเขา กรรมส่งผลที่ใจให้มารัก ให้มาหลง บังตาไว้ไม่ให้เห็นความสมเหตุสมผลทั้งหลาย หรือรู้ทั้งรู้ก็ยังรัก ถูกดูดเข้าไปใช้กรรม ที่อาตมาว่าความรักทำให้คนตาบอดต้องกล่าวให้เป็นธรรมขึ้นว่า “กรรมบังตา” คือกรรมบังคับใจให้ไปรู้สึกติดใจ ชอบ ใช่ รัก ผูกพันกับคนที่จะนำโยมไปรับผลที่โยมเคยก่อไว้ทั้งดีและร้ายนั่นเอง
เริ่มตั้งแต่ต้นที่จะรู้สึกดีกับใคร ก็กรรมกำหนด ที่จะไปได้เจอกันในเวลาที่แสนจะพอดี อย่างไรก็กรรมกำหนด กรรมจัดฉากไว้ให้ต้องไปเจอ และรู้สึกไปอย่างนั้น จนกระทั่งจิตส่งออก ทะยานออกไปเกาะเกี่ยวยึดไว้ หลงไปยึดเอาว่าของโยม คนของโยม ไปแปะป้ายว่า นี่เป็นคนที่โยมต้องการ นี่เป็นแฟนโยม ต้องดีกับโยม ห้ามไปดีกับคนอื่น พอเชื่อใจ คลายความคลางแคลง มั่นใจว่าใช่แน่ๆ มอบทุกอย่างให้หมด อาจจะแต่งหรือไม่แต่งก็สุดแท้แต่ ก็จะถึงเวลาที่ของจริงส่งผล แสดงตัวจริงของจริงให้เห็น ใจก็ “จี๊ด” ขึ้นมาจนกระทั่งต้องไปถาม… อาจจะเริ่มด้วยการถามเพื่อน หรือไม่ก็ไปถามเจ้าคู่กรณี ว่าเดิมไม่ใช่อย่างนี้ ทำไมเปลี่ยนไป ที่รับปากไว้ ที่สัญญาไว้ ทำไมไม่ทำ
       ปรับโทษ อาละวาด ตีโพยตีพาย นี่กรรมทั้งนั้น ซึ่งไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ถ้ายังมีความเห็นยึดมั่นว่า ความรู้สึก เป็นโยม ความคิดนี้เป็นของโยม ก็จะเชื่อความรู้สึกและความคิด โดยจะหลง คิดไปเองแต่แรกว่าเขาคนนั้นต้องดีอย่างนั้นอย่างนี้ คือมีใจพร้อมจะเชื่อไปก่อนอยู่แล้ว พอเขาพูดโน่นพูดนี่นิดหน่อยก็ทึกทักเอาเองว่าต้องใช่อย่างนั้น อย่างที่ใจขอมา .. แน่นอน โยมจึงพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ เป็นคู่ มีความสัมพันธ์ หลงรักคนที่ในอนาคตต่อไปจะรวมน้ำใจโยม ซึ่งเป็นผลจากการที่โยมเชื่อความรู้สึกและความคิดไปเองว่าเป็น “ของเรา”
ความจริง เขาไม่ได้เป็นอย่างที่โยมคิด เป็นโยมที่เข้าใจผิดไปเชื่อใจที่สั่งมาเอง แต่กว่าจะถึงตอนนั้น แทนที่จะรู้ตัว เห็นตามจริงว่าเป็นโยมที่คิดไปเอง ก็กลายเป็นโทษกันระหว่างสองฝ่ายไปแทนว่าไม่รักษาสัจจะวาจาที่เคยมีให้กันสมัยความหลงยังครอบงำอยู่ และสร้างกรรมใหม่ต่อกันไปอีกโดยไม่ได้ใช้หนี้กรรมเก่า เป็นกงกรรมกงเกวียน หรือกฎแห่งกรรม
กฎแห่งกรรมนั้น ไม่เคยไม่เที่ยงตรง สร้างเหตุไว้อย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้นแน่นอน!?!

ขอเจริญพร

CATEGORIES
TAGS
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!