พลิกแฟ้มคดีดัง:รวบราชายาเสพติด อาชญากรระดับโลก หลังหนีกบดานไทย
เรื่องโดย:ทีมข่าวเฉพาะกิจ
ผ่าแผนตำรวจไทย จับมือ ปปส.สหรัฐอเมริกา รวบราชายาเสพติด อาชญากรระดับโลก หลังหนีกบดานไทย
“หน่วยคอมมานโด กองปราบปราม พร้อมด้วย หน่วยปฏิบัติการพิเศษ นิลพัท และ หน่วยปฏิบัติการพิเศษสยบไพรี กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้ถูกคัดเลือกให้มาร่วมปฏิบัติการนี้”
ภายใต้ชื่อ..แผนปฎิบัติการ “รุกฆาต”
จากข่าวครึกโครมในอดีต กับการปฎิการล่าข้ามโลกราชายาเสพติดที่หนีกบดานไทยพร้อมด้วยลูกสมุน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหน่วยปฎิบัติการพิเศษของไทยร่วมกับเจ้าหน้าที่ DEA หน่วยปราบปรามยาเสพติดประเทศสหรัฐอเมริกา บุกเข้าจับกุมได้ที่จังหวัดภูเก็ต โดยขณะนั้น พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผู้บังคับการกองปราบปรามและเจ้าหน้าที่จากหน่วยปราบปรามยาเสพติดประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ DEA ได้ทำการควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดขึ้นเครื่องบินส่งกลับไปดำเนินคดีไปที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2556 หลังใช้เวลานานกว่า 2 เดือนในการปฎิบัติงาน
จากข้อมูลของคนร้ายกลุ่มนี้ทำให้ทราบมาว่า นายโจเซฟ ฮันเตอร์ อายุ 47 ปี ชาวอเมริกัน เป็นอดีตทหารหน่วยรบพิเศษกองทัพสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับคดียาเสพติด และคดีฆาตกรรมผู้พิพากษาในประเทศฟิลิปปินส์ และเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญที่สหรัฐอเมริกาต้องการตัว ส่วนสมุนอีก 5 คนที่ถูกจับได้ คือ นายอัลลัน เคลลี่ เพอรัสต้า สัญชาติฟิลิปปินส์ นายยี เกียงตัน ลิม สัญชาติไต้หวัน นายฟิลิป เดวิด แช็คเคิลส์ สัญชาติอังกฤษ นายยาก็อต อลัน สแตมเมอร์ส สัญชาติอังกฤษ และนายอเล็กซานเดอร์ สัญชาติสโลวาเกีย ซึ่งทั้งหมดมีประวัติโชกโชนอยู่ในแก๊งมาเฟีย
สำหรับเบื้องหลังปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการประสานงานกันระหว่างกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) และทีมงานเจ้าหน้าที่ DEA หรือสำนักงานปราบปรามยาเสพติดประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีจุดเริ่มต้นจากข้อมูลความเคลื่อนไหวของนายโจเซฟ ที่มีรายงานว่าได้หลบหนีมากบดานอยู่ประเทศไทยนั่นเอง
หน่วยคอมมานโด ทีมสืบสวน กองปราบปราม ได้ถูกคัดเลือกให้มาร่วมปฏิบัติการนี้ พร้อมด้วย หน่วยปฏิบัติการพิเศษ นิลพัท และ หน่วยปฏิบัติการพิเศษสยบไพรี กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ประกอบกำลังกันรวมแล้วกว่า 60 นาย ออกปฏิบัติการใน 2 ส่วนหลักๆ คือ การสืบสวนสะกดรอย และการจู่โจมจับกุม โดยมีการประสานข้อมูลกับหน่วย DEAอย่างใกล้ชิด ภายใต้ชื่อปฏิบัติการ “รุกฆาต” (Operation Checkmate)
จากการสืบสวนแกะรอยในครั้งนั้น เจ้าหน้าที่ได้ข้อมูลว่า นายโจเซฟ เดินทางไปพักอาศัยอยู่ที่เกาะภูเก็ต โดยมีลูกสมุนในกลุ่มอยู่ในพื้นที่อีกจำนวนหนึ่ง แต่กระจายกันอยู่ตามบ้านเช่าและโรงแรมใกล้กับสนามบิน รวมทั้งในพื้นที่ อ.กระทู้ แต่มีแหล่งที่พักหลายแห่งสลับสับเปลี่ยนตลอดเวลา และมีพฤติการณ์ระมัดระวังตัวสูง ทำให้ก่อนลงมือปฏิบัติการประมาณ 1 สัปดาห์ จึงค่อยๆ ส่งชุดสืบสวน และชุดปฏิบัติการต่างๆ แทรกซึมเข้าไปในพื้นที่
ระหว่างนั้นกลับพบความเคลื่อนไหวของลูกน้องในเครือข่ายอีก 2 คนได้นั่งเครื่องบินจากประเทศฟิลิปปินส์ตามมาสมทบ ส่วนบางกลุ่มที่อยู่ในไทยอีกราวๆ 4 คนกลับบินออกนอกประเทศ เป็นลักษณะการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ จึงต้องมีการปรับแผนกันใหม่ และเตรียมแผนสำรองไว้อีกหลายแผน จนกระทั่งการข่าวกลุ่มคนร้ายเริ่มนิ่ง แผนปฏิบัติการรุกฆาตจึงเริ่มต้นขึ้น
เช้าวันปฎิบัติการชุดเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษจำนวน 60 นาย นำโดย พล.ต.ต.ทนัย อภิชาติเสนีย์ รักษาการผู้บังคับการ (ผบก.) สกัดกั้นยาเสพติด บช.ปส. พ.ต.อ.อธิป แท่นนิล ผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ (ผกก.ปพ.) บก.ป. พ.ต.ท.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ รอง ผกก.ปพ.บก.ป.(ตำแหน่งในขณะนั้น) ได้ประชุมวางแผน แบ่งหน้าที่ในแต่ละส่วน เมื่อได้รับรายงานสถานการณ์ รวมทั้งซักซ้อมทำความเข้าใจแผนการปฏิบัติกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็กระจายกำลังกันประจำตามจุดต่างๆ ที่กำหนดไว้โดยในส่วนของหน่วยคอมมานโดกองปราบปรามในชุดเครื่องแบบปฏิบัติการพิเศษ อาวุธครบมือ ต้องเก็บตัวอยู่ในรถตู้ 2 คันเพื่อเตรียมพร้อมปฏิบัติการตลอดเวลา โดยไม่มีการลงจากรถเด็ดขาด จึงต้องเตรียมเสบียงอาหารและคอมฟอร์ท 100 ให้พร้อม ผ่านไปหลายชั่วโมงยังไม่มีสัญญาณใดๆ ทำให้บรรยากาศเริ่มตึงเครียด ชุดปฏิบัติการพิเศษบางนายถึงขั้นต้องอาเจียนเพื่อระบายความอึดอัดออกมา
กระทั่งย่างเข้าสู่ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ชุดสืบสวนพร้อมชุดจู่โจม ได้เคลื่อนตัวบุกตรวจค้นที่พักของนายโจเซฟซึ่งมีทั้งหมด 3 หลัง โดยเริ่มตรวจค้นทีละหลัง จากย่านสนามบินไล่มาถึงบ้านหรู ใน อ.กระทู้ แต่สองหลังแรกมีเพียงห้องว่างๆ ที่เปิดเครื่องปรับอากาศทิ้งไว้ และมีโทรศัพท์มือถือวางอยู่หลายเครื่อง ไร้ร่องรอยนายโจเซฟ จึงทำให้บรรยากาศกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง แต่หลังจากตรวจสอบเบาะแสเพิ่มเติมจากพยานแวดล้อมและภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดแล้ว ทำให้ทราบความเคลื่อนไหวของเป้าหมายว่า นายโจเซฟกำลังขี่รถจักรยานยนต์ไปที่บ้านหรูข้างสนามกอล์ฟ จึงมีการส่งสัญญาณให้ชุดสืบสวนที่เฝ้าติดตามให้ช่วยสังเกตจนพบตัวนายโจเซฟ หมากตัวสุดท้ายก่อนเข้ารุกฆาตปิดเกมแห่งการไล่ล่า โดยรวบตัวอาชญากรคนสำคัญรายนี้มาได้ในที่สุด
ส่วนบรรดาลูกสมุนในเครือข่ายที่กระจายกันอยู่ตามบ้านเช่าและโรงแรมต่างๆ ในภูเก็ต ก็ถูกตามล็อคตัวมาได้ 5 คน โดยทั้งหมดเป็นชาวต่างชาติ สัญชาติไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อังกฤษ และสโลวัก
แหล่งข่าวระดับสูงในชุดปฏิบัติการรุกฆาต บอกว่า ที่ต้องใช้ชุดปฏิบัติการพิเศษที่มีความสามารถและมีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานระดับสากล เนื่องจากการข่าวที่ได้รับมาระบุว่า นายโจเซฟเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญที่มีบทบาทในแก๊งค้ายาเสพติดระดับโลกแก๊งหนึ่ง โดยเป็นหัวหน้าทีมสังหาร เป็นทั้งผู้สั่งการและร่วมลงมือปฏิบัติการตามออร์เดอร์ที่ทางแก๊งส่งเป้าหมายมาให้ ล่าสุดพัวพันกับคดีสังหารผู้พิพากษา อัยการ และหัวหน้าแก๊งค้ายาเสพติดฝ่ายตรงข้ามในประเทศฟิลิปปินส์
“ความร้ายกาจไม่ได้อยู่ที่ว่านายโจเซฟเป็นอดีตทหารหน่วยรบพิเศษของกองทัพบกสหรัฐ หรือที่รู้จักกันในชื่อหน่วย สเปเชียล ฟอร์ซ (Special Force) ซึ่งได้รับการฝึกฝนเรื่องการต่อสู้มือเปล่าและการใช้อาวุธทุกรูปแบบเพียงอย่างเดียว แต่เขามีลูกน้องเป็นทีมทหารรับจ้างอีกหลายคน ซึ่งเป็นทีมสังหารที่มีศักยภาพในการทำงานทุกรูปแบบ และสามารถปฏิบัติการได้ทุกที่ทั่วโลก นอกจากนี้ยังสามารถโจรกรรมข้อมูลเหยื่อจากอีเมล์ได้ด้วย”
ฉะนั้นในการเข้าจับกุมคนร้ายกลุ่มนี้จะต้องไม่ประมาท สังเกตได้ว่าชุดจับกุมที่เข้าประชิดตัวจะไม่พกอาวุธใดๆ ทั้งสิ้นเพื่อป้องกันคนร้ายแย่งอาวุธ เนื่องจากเขาถูกฝึกฝนให้มีความชำนาญในการต่อสู้มือเปล่า และก่อนหน้าที่จะจับกุมนายโจเซฟก็ได้รับการแจ้งเตือนจากชุดปฏิบัติการที่จับกุมลูกน้องนายโจเซฟมาว่าให้ระมัดระวังให้มาก เนื่องจากลูกน้องนายโจเซฟคนหนึ่งที่ถูกจับกุมสามารถถอดเครื่องพันธนาการที่มือหลบหนีได้ แต่โชคดีที่เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมกลับมาได้ทัน
นอกจากปฏิบัติการจับกุมนายโจเซฟ พร้อมกับเครือข่ายด้านยาเสพติดอีก 5 คนที่ภูเก็ตแล้ว ปฏิบัติการครั้งนี้ยังเกิดขึ้นพร้อมกันที่ประเทศแถบยุโรปและแอฟริกาด้วย โดยมีการจับกุมทหารรับจ้างซึ่งเป็นลูกน้องนายโจโซฟมาได้อีก 4 คน
ปฎิบัติการ ล่าข้ามโลก ของหน่วย DEA ร่วมกับหน่วยปฎิบัติการพิเศษของประเทศไทย ครั้งนี้นับว่าเป็นผลสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม ที่สามารถจับกุมอาชญากรระดับโลกได้ โดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ หรือแม้แต่การต่อสู้ แผนปฎิบัติการ “รุกฆาต” จึงนับว่าเป็นสุดยอดการใช้มันสมองสะท้อนศักยภาพของตำรวจไทย ในการวางแผนเข้าจับกุมโดยที่คนร้ายไม่ทันระวังตัวและไม่มีโอกาสได้ตั้งตัว แต่ที่น่าสังเกตว่า คนร้ายกลุ่มนี้เป็นอาชญากรสำคัญระดับสากล ระดับโลก แต่ทำไมถึงเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างง่ายดาย ซึ่งผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็คงต้องนำไปเป็นการบ้านคิดกันและหาทางป้องกัน เพราะนั่นคือปัญหาที่ต้องมีการสะสางกันต่อไป